ภาษีธุรกิจเป็นเรื่องคู่กันกับงานบัญชี โดยเฉพาะนักบัญชีที่ไม่ได้ทำงานในบริษัทใหญ่ๆ ในทุกเดือนเจ้าของกิจการก็จะคาดหวังว่า เราต้องตอบคำถามภาษีให้ได้ และยื่นภาษีทุกอย่างบนโลกใบนี้ให้ถูกต้อง
แต่ในความเป็นจริง พวกเราก็รู้กันดีว่าภาษีนั้น ไม่ใช่เรื่องที่นักบัญชีทุกคนเข้าใจมาแต่แรก ส่วนใหญ่แล้วพวกเราก็อาศัยศึกษาเองนอกห้องเรียนเสียมากกว่า
แล้วถ้าอยากเก่งภาษีมากขึ้น นำส่งภาษีผิดพลาดน้อยลง มีประเด็นภาษีธุรกิจอะไรบ้างที่เข้าใจผิดบ่อย แล้วที่ถูกต้องคืออะไร เรามาดูไปพร้อมๆ กันนะคะ
1.จดบริษัทแล้ว ไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เรื่องแรกที่เจ้าของธุรกิจมักเข้าใจผิดบ่อย และนักบัญชีอาจไม่ได้อธิบายเจ้าของธุรกิจแต่แรก ก็คือ จดบริษัทแล้ว ไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะบริษัท และบุคคล มีสถานะแยกต่างหากออกจากกัน
เมื่อจดบริษัทแล้ว ถือเป็น นิติบุคคล ต้องนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคล จากกำไรที่บริษัทหาได้มา และเมื่อคำนวณภาษีตามอัตราที่สรรพากรกำหนดตั้งแต่ยกเว้น – 20% แล้ว ต้องเสียภาษีหรือไม่นั่นก็ค่อยว่ากัน
สำหรับตัวบุคคล (กรรมการ) ก็ยังมีสถานะเป็นบุคคลธรรมดา ต้องนำส่งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คำนวณจากเงินได้สุทธิ
เงินได้สุทธิ = รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน
อัตราภาษีบุคคลธรรมดาเริ่มตั้งแต่ยกเว้น 150,000 บาทแรก ไปจนถึงสูงสุด 35% ค่ะ
เมื่อเข้าสูตรคำนวณแล้ว ต้องจ่ายภาษีหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องนึงค่ะ

2.หัก ณ ที่จ่ายแล้ว ไม่ต้องจ่ายภาษีปลายปี
ถัดมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาษีหัก ณ ที่จ่ายค่ะ หลายคนคิดว่าถูกหัก ณ ที่จ่ายระหว่างปีแล้ว เราไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีปลายปีอีก
อันนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด
สิ่งที่ถูกต้อง คือ กรณีถูกหักภาษีหัก ณ ที่จ่ายแล้ว ตอนปลายปีทั้งบริษัท และบุคคลเองก็ยังจำเป็นต้องคำนวณภาษีปลายปี และนำส่งสรรพากรค่ะ
สูตรที่ใช้คำนวณว่าต้องจ่ายภาษีเพิ่มหรือขอคืนกับสรรพากรหรือไม่นั่น เราใช้สูตรนี้ค่ะ
ภาษีปลายปี – ภาษีครึ่งปี – ภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย = ภาษีที่จ่ายเพิ่มหรือขอคืน
ดังนั้น ถึงแม้จะถูกหักภาษีตอนระหว่างปีไว้ แต่ถ้าคำนวณแล้วทั้งปีต้องจ่ายมากกว่านี้ เราก็ยังจะต้องจ่ายภาษีอยู่ดีนะคะ
สูตรนี้ใช้ได้กับภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานะคะ

ส่วนคำว่า ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นภาษีอีกหนึ่งประเภท ที่ผู้จ่ายเป็นคนหักภาษี ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด ขึ้นอยู่กับประเภทรายได้ แล้วค่อยนำส่งสรรพากรแทนผู้รับเงินค่ะ
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท ก. จ่ายค่าทำบัญชี 5000 บาท แก่บริษัท ข. หัก ณ ที่จ่ายไว้ 3% ก็จะเท่ากับ 150 บาท บริษัท ข. จะได้เงินเท่ากับ = 5000 – 150 = 4850 บาท
ถ้าใครอยากทำความเข้าใจเพิ่ม ลองไปอ่านเพิ่มเติมที่นี่ได้เลย: สรุปภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ฉบับ 101
3.ภาษีครึ่งปี ยื่นให้มากกว่าครึ่งของปีก่อน แค่นี้ก็ปลอดภัย
ถัดมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาษีครึ่งปี หรือภาษีกลางปี ภาษีตัวนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่กฎหมายกำหนดไว้ว่า บริษัทจะต้องยื่นภาษีกลางปีภายใน 2 เดือนหลังจากสิ้นสุดรอบระยะเวลา 6 เดือนแรกของปีค่ะ
ทีนี้คนส่วนใหญ่มักกลัวว่าจะประมาณการภาษีต่ำไปเกินกว่า 25% จึงพยายามประมาณการภาษีกลางปีให้สูงกว่ากึ่งหนึ่งของปีก่อนเข้าไว้ เพื่อให้เข้าเงื่อนไขกรมสรรพากรนี้
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.152/2558ฯ “ข้อ 1 กรณีดังต่อไปนี้ ให้ถือวาเป็นกรณีมีเหตุอันสมควร (1) กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จัดทำประมาณการกำไรสุทธิและยื่นแบบแสดงรายการ เสียภาษีครึ่งปี ไว้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีที่แล้ว (2) กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จัดทำประมาณการกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำหรือ จะได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นไม่น้อยกว่ากำไรสุทธิที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีที่แล้ว แต่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีครึ่งปี ไว้น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีที่แล้วเนื่องจากได้รับยกเว้นหรือลดอัตราภาษี” |
แต่ถ้าเกิดสถานการณ์ธุรกิจปีนั้นๆ ไม่ค่อยดี ทำให้มีกำไรที่จะต้องเสียภาษีจริงๆ ต่ำกว่าที่เคยยื่นประมาณการไว้ นั่นแปลว่า เราจ่ายภาษีกลางปีเยอะเกินกว่าจำเป็น และสุดท้ายถ้าอยากได้ภาษีคืน จะต้องถูกสรรพากรตรวจสอบด้วยนะ
ลองดูตัวอย่างจากภาพนี้เลย

เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นท่าว่าบริษัทรายได้ไม่ดี กำไรไม่ดี เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่าเพิ่งยื่นภาษีกลางปีสูงไปนะคะ ให้ประมาณการตามข้อเท็จจริงดีกว่า ไม่งั้นปลายปีมีหนาว คุยกับสรรพากรยาวแน่นอนค่ะ
4.กรรมการเงินเดือน 25,000 บาทก็พอ จะได้ไม่ต้องจ่ายภาษีเยอะ
เจ้าของธุรกิจอาจคิดว่าถ้าไม่อยากจ่ายภาษีบุคคลธรรมดาก็รับเงินเดือนแค่ 25,000 ก็พอน่ะสิ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การรับเงินเดือนที่ 25,000 บาท จากบริษัท โดยไม่ดูว่าตัวเองทำอะไรบ้าง และมันเหมาะสมกับธุรกิจ รวมถึงการใช้จ่ายส่วนตัวหรือไม่ อาจทำให้ธุรกิจ และส่วนตัวมีปัญหาระยะยาวค่ะ
ลองมาดูตัวอย่างนี้กัน

ถ้านาย ก. เป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการ บริษัทนี้ไม่มีใครนอกจากเค้าทำอยู่คนเดียว มีรายได้ 10 ล้าน และไม่อยากเสียภาษีส่วนบุคคล เขาจึงให้เงินเดือนตัวเอง 25,000 บาท ผลกระทบจะเป็นอย่างไร
บริษัท – เมื่อคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี กำไรจะสูงเกินความเป็นจริง เพราะกรรมการได้เงินเดือนน้อยนิด และเมื่อกำไรเยอะ บริษัทก็จ่ายภาษีเยอะเช่นกัน และถ้าคิดว่าแค่จ่ายภาษีก็จบแล้ว มันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะอย่าลืมว่ากำไรที่เหลือสะสมไว้ สุดท้ายจะเอาออกไปก็ต้องจ่ายภาษีอีกต่อ คือ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย 10% จากเงินปันผลนั่นเองค่ะ
บุคคล – นาย ก. รับเงินเดือน 25,000 บาท เป็นเวลา 1 ปี เท่ากับว่าเขามีรายได้ 300,000 บาทต่อปี รายได้เท่านี้ ไม่ต้องเสียภาษีบุคคลธรรมดาก็จริง แต่ถ้ามองในมุมกลับว่า ทั้งปี 365 วันนาย ก. ทำงานให้บริษัททุกวัน ได้เงินเดือน 300,000 บาท ไม่น่าจะพอใช้ โดยไม่ต้องไปพูดถึงการเลี้ยงลูกเมียอีกนะ สุดท้ายแล้ว ถ้านาย ก. มีเงินส่วนตัวไม่พอใช้ ปัญหาที่จะเกิดตามมาก็คือ เงินกู้ยืมกรรมการ ที่เราจะอธิบายในหัวข้อถัดไปอีกยาวๆ เลยค่ะ
5.เงินเข้า-ออกไม่มีที่มาที่ไป ปล่อยไว้เป็นเงินกู้กรรมการก็ได้
ปกติแล้วทุกๆ บริษัทจะมีสมุดบัญชีที่เปิดในนามบริษัทใช่ไหมคะ แล้วนักบัญชีอย่างเรามักจะทำบัญชีโดยเช็กเงินเข้าออกจาก bank statement จากนั้น ก็บันทึกรายการทางบัญชีให้ตรงกัน
แต่เคยเจอเหตุการณ์นี้บ้างมั้ย ที่เงินเข้าออก แล้วนักบัญชีไม่สามารถเช็กได้ว่าเกิดจากอะไรบ้างล่ะ บางทีเข้าออกสู่บัญชีส่วนตัวกรรมการบ้างล่ะ

ผลกระทบทางบัญชีของรายการเหล่านี้มี 2 ประเด็น
- เงินออกไม่รู้ที่มา – เจ้าของอาจคิดว่านี่เป็นวิธีการดึงเงินออกจากบริษัทอย่างฉลาด นักบัญชีมักมองว่าเป็นเงินให้กู้ยืมแก่กรรมการ บริษัทเป็นเจ้าหนี้ และในทางภาษีต้องคิดดอกเบี้ยระหว่างกันตามเงื่อนไขของภาษีธุรกิจเฉพาะ กับถือเป็นรายได้ทางภาษีเงินได้นิติบุคคลค่ะ
- เงินเข้าไม่รู้ที่มา – นักบัญชีมักมองเป็นเงินกู้ยืมจากกรรมการ โดยที่บริษัทเป็นลูกหนี้ ในงบการเงินก็จะแสดงเป็นหนี้สินไว้ กรณีนี้ถ้าสรรพากรเข้มๆ เค้าอาจมองว่าเป็นการหลบเลี่ยงรายได้ ไม่นำส่งสรรพากรหรือไม่
นอกจากนี้แล้ว การมีเงินกู้ยืมฝั่งใดฝั่งนึงเยอะๆ แบบไม่มีสัญญา ไม่มีที่มาที่ไป ก็ทำให้งบการเงินดูไม่ดี ไม่น่าเชื่อถือ เหมือนว่าบริษัทไม่มีการควบคุมภายใน แบบนี้ไปต่อยอดธุรกิจ กู้เงินธนาคาร หรือหานักลงทุนมาลงทุนก็ลำบากเหมือนกันค่ะ
6.ไม่อยากโดนสรรพากรเรียกพบ ต้องมีกำไรทุกปี
ถ้าไม่มีกำไรส่งสรรพากร เราจะโดนเรียกพบ จึงต้องยื่นงบมีกำไร และภาษีเท่านั้น ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องนัก
เพราะว่าหากบริษัทเคยมีกำไร แต่ขาดทุน ก็อาจถูกสรรพากรสงสัยก็จริงค่ะ แต่ว่าเมื่อความเป็นจริงมันมีที่มาที่ไป เราเพียงแค่ทำความเข้าใจ และรู้ว่าความเสี่ยงที่อาจถูกเรียกพบมีขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องตกแต่งงบนะ

งบการเงินที่ตกแต่งจากขาดทุนให้มีกำไรเค้าทำยังไงกัน
- รับรู้รายได้เท็จ
- ดึงบิลค่าใช้จ่ายออก ทั้งที่เกี่ยวข้องจริงกับบริษัท
- ทำให้มีกำไรสูง
- ภาษีตามสรรพากรกำหนด
แบบนี้มีแต่เสียกับเสีย ตั้งแต่เสียเวลาตกแต่งบัญชี เสียเงินจ่ายค่าภาษี เสียค่าปรับถ้าพบว่าแจ้งข้อมูลเท็จ
7.ดึงบิลภาษีซื้อไว้ ไม่เคลม VAT เพราะต้องขอคืนภาษี
ภาษีมูลค่าเพิ่ม กำหนดไว้ว่า บริษัทต้องนำส่งภาษีขาย และหักกับภาษีซื้อ แก่สรรพากร ด้วยแบบ ภ.พ. 30 เป็นประจำทุกเดือน
ทีนี้หลายคน มีความเชื่อที่ว่า ถ้าเดือนนี้ซื้อของเยอะ แล้วมีภาษีซื้อ > ภาษีขาย กลายเป็นว่าเกิดภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่งติดลบ ต้องเลือกขอคืนภาษี จะดูไม่ดี และสรรพากรเพ่งเล็ง

ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่ผิด สำหรับคนที่มีการซื้อขายเกิดขึ้นจริง เมื่อได้บิลภาษีซื้อมาก็ต้องนำส่งสรรพากร ยกเว้นเสียแต่ว่า มีเหตุจำเป็นตามนี้
ภาษีซื้อที่มิได้นำไปหักในการคำนวณภาษีในเดือนภาษีเพราะเหตุดังต่อไปนี้ (1) เหตุจำเป็นซึ่งเกิดขึ้นตามประเพณีทางการค้า (2) เหตุสุดวิสัย (3) ได้รับใบกำกับภาษีในเดือนภาษีอื่นที่มิใช่เดือนภาษีที่ระบุไว้ในใบกำกับภาษี ให้มีสิทธินำไปหักในการคำนวณภาษีในเดือนภาษีหลังจากนั้นได้ แต่ต้องไม่เกินหกเดือนนับแต่เดือนถัดจากเดือนที่ออกใบกำกับภาษี |
ทีนี้ถ้าได้ใบกำกับภาษีซื้อมาแล้ว แต่จงใจดึงบิลออก ไม่นำส่งภาษีซื้อตามที่กฎหมายกำหนด อาจมีความผิดเกิดขึ้นด้วยนะจะบอกให้
สรุปประเด็นภาษีธุรกิจ
ที่เล่ามาทั้ง 7 เรื่องนี้เป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับภาษีธุรกิจ ทั้งในฝั่งเจ้าของธุรกิจ และบางครั้งนักบัญชีเองค่ะ ดังนั้น ในฐานะนักบัญชี อย่าลืมทำความเข้าใจเรื่องภาษีที่ถูกต้อง จะได้ไปอธิบายให้เจ้าของธุรกิจรู้มากขึ้นด้วย
อย่าลืมนะคะว่า นักบัญชีที่เก่งภาษีนั้นมีประโยชน์กับการทำงาน และที่สำคัญช่วยเพิ่มรายได้ของเราอีกด้วยนะ
อ่านบทความนี้แล้วยังไม่จุใจ อยากรู้เรื่องภาษีเบื้องต้นและงบการเงินสำหรับนักบัญชีให้มากกว่านี้แนะนำ ลงเรียนคอร์สนี้กับ CPD Academy นะคะ
พื้นฐานภาษีและงบการเงินที่นักบัญชีควรรู้ ได้ CPD 6.30 ชั่วโมง