ความรู้บัญชี, ไลฟ์สไตล์

CPA คือใคร มีหน้าที่อะไร มาทำความรู้จักกัน

CPA คือใคร

ถ้าใครอยู่ในแวดวงบัญชี หรือการทำธุรกิจมักจะได้ยิน คำว่า CPA (Certified Public Accountant) หรือ “ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต” กันอยู่บ่อยๆ

เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลทางการเงินของกิจการมีความถูกต้อง โปร่งใส และเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ เจ้าของธุรกิจก็ต้องใช้บริการผู้สอบบัญชีนี่ล่ะค่ะ มาให้คำรับรองในงบการเงินของตัวเอง

นักบัญชีหลายคนก็มองว่าการเป็น CPA นั้นช่วยเปิดโอกาสมากมายในอนาคตสายงานบัญชี ในความเป็นจริงแล้ว CPA คือใคร มีหน้าที่อะไรและทำไมถึงมีความสำคัญต่อวงการการบัญชีนักนะ เรามาร่วมกันทำความรู้กันในบทความนี้เลย

เนื้อหา ซ่อน

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จัก บทบาทและหน้าที่ของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตกันก่อนดีกว่าค่ะ

บทบาทและหน้าที่ของผู้สอบบัญชีรับอนุญาต CPA คือใคร มีหน้าที่อะไร

cpa คือใคร มีหน้าที่อะไร
cpa คือใคร มีหน้าที่อะไร

ผู้สอบบัญชี Certified Public Accountant หรือ CPA คือใคร มีหน้าที่อะไร

ผู้สอบบัญชี Certified Public Accountant (CPA) คือ บุคคลที่ได้รับการรับใบอนุญาตในการตรวจสอบและรับรองงบการเงินทางวิชาชีพบัญชี ผู้สอบบัญชีที่ได้รับใบอนุญาต CPA จะต้องมีคุณสมบัติและประสบการณ์ตามที่สภาวิชาชีพบัญชีกำหนด โดยผ่านการสอบที่มีมาตรฐานสูงซึ่งครอบคลุมเนื้อหาหลายด้าน เช่น การบัญชี การตรวจสอบบัญชี ภาษีอากร และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

บทบาท หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตมีอะไรบ้าง?

หน้าที่ของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตมีอะไรบ้าง?
หน้าที่ของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตมีอะไรบ้าง?

เราลองไปดูกันนะคะ ว่าแต่ละหัวข้อ ผู้สอบบัญชีต้องทำอะไรบ้าง

1. การประเมินความเสี่ยงก่อนรับงาน และวางแผนการตรวจสอบ

การประเมินความเสี่ยงก่อนรับงานและการวางแผนการตรวจสอบเป็นขั้นตอนที่สำคัญในกระบวนการตรวจสอบบัญชี ซึ่งช่วยให้ผู้ตรวจสอบบัญชีสามารถดำเนินการตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงาน นี่คือขั้นตอนและกระบวนการที่ควรพิจารณา

1.1 การประเมินความเสี่ยงก่อนรับงานเป็นกระบวนการที่ผู้ตรวจสอบบัญชีต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เพื่อทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานของลูกค้า ในด้านต่างๆ เช่น

  • ความเสี่ยงด้านธุรกิจ วิเคราะห์ลักษณะธุรกิจของลูกค้า เช่น การดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง สถานะทางการตลาด และความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ เพื่อประเมินความเสี่ยงโดยรวม
  • ความเสี่ยงด้านการบัญชี ตรวจสอบความเสี่ยงที่อาจเกิดจากระบบบัญชีและการควบคุมภายในของลูกค้า เช่น ความซับซ้อนของรายการบัญชี การควบคุมภายในที่อาจมีจุดอ่อนเกี่ยวกับการรับรู้รายได้หรือค่าใช้จ่ายทางบัญชี
  • ความเสี่ยงทางกฎหมายและข้อบังคับ พิจารณาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการบัญชีและการตรวจสอบ
  • ประวัติการทำงานกับลูกค้า ประเมินความสัมพันธ์ที่ผ่านมา ระดับความน่าเชื่อถือ และความพึงพอใจของลูกค้าในการให้บริการจากสำนักงานบัญชี

1.2 การวางแผนการตรวจสอบ หลังจากการประเมินความเสี่ยง ผู้ตรวจสอบบัญชีจะต้องวางแผนการตรวจสอบเพื่อให้ครอบคลุมความเสี่ยงที่ได้ประเมินไว้

  • กำหนดขอบเขตการตรวจสอบ เกี่ยวกับรายการบัญชีและรายการค้าที่ต้องการตรวจสอบให้ชัดเจน
  • กำหนดวิธีการตรวจสอบ เลือกวิธีการตรวจสอบที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับการประเมินความเสี่ยงที่ประเมินไว้ เช่น การตรวจสอบเอกสาร การสัมภาษณ์บุคลากร และการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล
  • การแบ่งทีมงาน กำหนดบทบาทและหน้าที่ของสมาชิกในทีมตรวจสอบ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
  • กำหนดเวลาในการตรวจสอบ วางแผนเวลาและกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการตรวจสอบ เพื่อให้การตรวจสอบเสร็จสิ้นภายในเวลาที่กำหนด
  • การสื่อสารกับลูกค้า สื่อสารกับลูกค้าเกี่ยวกับแผนการตรวจสอบและความคาดหวังในการดำเนินการ เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจขั้นตอนและความสำคัญของการตรวจสอบ

2. การตรวจสอบตามมาตรฐานการสอบบัญชี การควบคุมภายใน การบันทึกบัญชี และข้อผิดพลาดในทางบัญชีที่อาจเกิดขึ้นในธุรกิจ

การตรวจสอบบัญชีเป็นกระบวนการที่สำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลทางการเงินขององค์กรมีความถูกต้องและเชื่อถือได้ โดยกระบวนการนี้ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการสอบบัญชีที่กำหนด ซึ่งรวมถึงการประเมินการควบคุมภายใน การบันทึกบัญชี และการระบุข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในธุรกิจ โดยทั่วไปต้องทำความเข้าใจ 4 เรื่องหลักๆ นี้ค่ะ

2.1 มาตรฐานการสอบบัญชี

มาตรฐานการสอบบัญชี (Auditing Standards) เป็นกรอบแนวทางที่กำหนดขึ้นเพื่อควบคุมการดำเนินงานของผู้ตรวจสอบบัญชี มาตรฐานเหล่านี้มีความสำคัญในการให้ความเชื่อมั่นว่า การตรวจสอบบัญชีจะดำเนินการอย่างถูกต้องและมีคุณภาพ เช่น

  • การวางแผนการตรวจสอบ ต้องมีการวางแผนการตรวจสอบที่ชัดเจน รวมถึงการกำหนดขอบเขตและวิธีการที่จะใช้ในการตรวจสอบ
  • การประเมินความเสี่ยง ผู้ตรวจสอบบัญชีต้องประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานขององค์กร และจัดการกับความเสี่ยงเหล่านั้นในการตรวจสอบ
  • การรวบรวมหลักฐานการตรวจสอบ ต้องมีการรวบรวมหลักฐานที่เพียงพอและเหมาะสม เพื่อสนับสนุนผลการตรวจสอบ

2.2 การควบคุมภายใน

การควบคุมภายใน (Internal Control) เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้การดำเนินงานขององค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดหรือการทุจริต เช่น

  • การควบคุมการเข้าถึง การจำกัดการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินและเอกสารบัญชีแก่บุคคลที่มีสิทธิ
  • การแยกหน้าที่ การกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจนในกระบวนการทางการเงิน เพื่อป้องกันการเกิดข้อผิดพลาด
  • การตรวจสอบและติดตาม การมีระบบตรวจสอบภายในที่สามารถติดตามความถูกต้องของข้อมูลและการปฏิบัติตามนโยบายได้

2.3 การบันทึกบัญชี

การบันทึกบัญชีเป็นกระบวนการที่สำคัญในการจัดการข้อมูลทางการเงินขององค์กร โดยการบันทึกบัญชีต้องมีความถูกต้องและเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้อง เช่น

  • การบันทึกรายการธุรกรรม การบันทึกธุรกรรมทางการเงินในระบบบัญชีต้องทำอย่างถูกต้องและครบถ้วน โดยต้องมีเอกสารหลักฐานที่สนับสนุน
  • การจัดทำงบการเงิน งบการเงินต้องจัดทำขึ้นจากข้อมูลบัญชีที่ถูกต้องและเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีที่กำหนด

2.4 ข้อผิดพลาดในทางบัญชีที่อาจเกิดขึ้น

ข้อผิดพลาดในทางบัญชีสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อข้อมูลทางการเงินและความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้เสีย เช่น

  • ข้อผิดพลาดในการบันทึกข้อมูล การบันทึกรายการบัญชีที่ไม่ถูกต้อง เช่น การบันทึกจำนวนเงินผิดพลาด หรือการบันทึกในบัญชีผิดประเภท
  • การละเลยในการบันทึกธุรกรรม การไม่บันทึกธุรกรรมที่เกิดขึ้น เช่น การไม่บันทึกรายจ่ายหรือรายได้ที่เกิดขึ้น
  • การไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชี การจัดทำงบการเงินที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชี เช่น การไม่เปิดเผยข้อมูลที่สำคัญ
  • การทุจริตหรือการฉ้อโกง การดำเนินการที่มีเจตนาที่ไม่ถูกต้อง เช่น การสร้างเอกสารปลอม หรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ

3. การแสดงความเห็นจากหลักฐานการตรวจสอบที่ได้รับ

การแสดงความเห็นจากหลักฐานการตรวจสอบที่ได้รับเป็นกระบวนการที่สำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในข้อมูลทางการเงินของกิจการ ความเห็นที่ชัดเจนและมีหลักฐานสนับสนุนจะช่วยให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและมั่นใจ ในการบริหารจัดการทรัพยากรและการวางแผนอนาคตของกิจการได้ โดยการแสดงความเห็นต่างๆของผู้สอบบัญชี สามารถศึกษาได้เพิ่มเติมตามบทความนี้เลยค่ะ ทำความเข้าใจ หน้ารายงานผู้สอบบัญชีในงบการเงิน

4. มีความเป็นอิสระตามจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี

ความเป็นอิสระตามจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพตรวจสอบบัญชีเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การตรวจสอบมีความน่าเชื่อถือและโปร่งใส ซึ่งผู้ตรวจสอบบัญชีต้องระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นอิสระและปฏิบัติตามแนวทางที่เหมาะสม เพื่อรักษามาตรฐานวิชาชีพและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้เสีย

ตัวอย่างความมีอิสระตามจรรยาบรรณ

  • ผู้ตรวจสอบจะต้องไม่อยู่ในสถานะที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์หรือมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการตรวจสอบ การมีความเป็นอิสระช่วยให้ผู้ตรวจสอบสามารถแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาและมีความเป็นกลาง
  • ความเป็นอิสระในการแสดงความคิดเห็นและการตัดสินใจในการตรวจสอบ ไม่มีการแทรกแซงหรืออิทธิพลจากภายนอก
  • ความสัมพันธ์ส่วนตัว การมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกค้า เช่น ครอบครัวหรือเพื่อน อาจทำให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์
  • หากผู้ตรวจสอบบัญชีให้บริการหลายประเภทกับลูกค้า เช่น การให้คำปรึกษาทางการเงิน อาจทำให้เกิดความขัดแย้งในการตรวจสอบ
  • ผู้ตรวจสอบบัญชีควรหลีกเลี่ยงการรับค่าตอบแทนที่มีความสูงเกินไปซึ่งอาจสร้างแรงกดดันหรือความคาดหวังที่ไม่เหมาะสม

พอทำความเข้าใจกันทั้งหมด 4 หัวข้อ แทบจะปวดหัวแทนผู้สอบบัญชีเลยทีเดียว แต่บทบาทและหน้าที่เหล่านี้นี่แหละค่ะ ทำให้ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเป็นส่วนสำคัญในการรักษาความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของข้อมูลทางการเงินในธุรกิจที่ทั้งผู้ประกอบการหรือผู้ใช้งบท่านอื่น จะนำไปใช้ได้อย่างมีประโยชน์สูงสุดค่ะ

ถัดไปค่ะ เราไปดูด้านความท้าทายในวิชาชีพบัญชีกันดีกว่า ว่านอกจากหน้าที่และความรับผิดชอบแล้ว ยังมีความท้าทายด้านอื่น ๆ เรื่องอะไรอีกบ้าง

ปัญหาและความท้าทายในวิชาชีพบัญชี

ปัญหาและความท้าทายในวิชาชีพบัญชี
ปัญหาและความท้าทายในวิชาชีพบัญชี

ปัญหาและความท้าทายที่ผู้ตรวจสอบบัญชี (Auditor) ที่ต้องเผชิญในวิชาชีพบัญชีที่มีหลากหลายด้านเลยค่ะ
โดยปัญหาและความท้าทายหลักที่พบได้บ่อยมีดังนี้

  • ได้รับเอกสารหลักฐานแบบออนไลน์
    เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือหลักฐานข้อมูลแบบออนไลน์ มีบทบาทมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจ ทำให้ผู้ตรวจสอบบัญชีต้องมีความรู้และทักษะในการตรวจสอบระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ หลักฐานข้อมูลแบบออนไลน์เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางไซเบอร์ การทุจริตผ่านระบบดิจิทัล และการรั่วไหลของข้อมูล ซึ่งเป็นความท้าทายใหม่ที่เพิ่มขึ้นในวิชาชีพบัญชี
  • เงื่อนไขด้านเวลาการตรวจสอบ
    ผู้ตรวจสอบบัญชีมักจะต้องทำงานภายใต้กรอบเวลาและงบประมาณที่จำกัด ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพของการตรวจสอบ หากไม่มีการวางแผนหรือการจัดการทรัพยากรที่ดี
  • ทำความเข้าใจกับระบบบัญชีใหม่ๆ
    ผู้ตรวจสอบบัญชีต้องทำความเข้าใจกับระบบบัญชีใหม่ๆ พัฒนาทักษะหากต้องตรวจสอบในธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง หากมีความเข้าใจในธุรกิจจะทำให้วางแผนการตรวจสอบได้ดีด้วย
  • มีการสอบทานคุณภาพงานมากขึ้น
    ผู้ถือหุ้น นักลงทุน และหน่วยงานกำกับดูแลมีความคาดหวังสูงต่อการตรวจสอบบัญชี ซึ่งผู้ตรวจสอบบัญชีต้องสร้างความมั่นใจให้กับพวกเขาว่าการตรวจสอบเป็นไปตามมาตรฐานที่เหมาะสม หากเกิดความผิดพลาดหรือข้อบกพร่อง อาจนำไปสู่ความเสียหายทางกฎหมายและความเสียหายต่อชื่อเสียงของผู้ตรวจสอบบัญชี
  • ผู้บริหารแทรกแซงการทำงาน
    การรักษาความเป็นอิสระเป็นหลักสำคัญในวิชาชีพผู้ตรวจสอบบัญชี ผู้ตรวจสอบบัญชีอาจเผชิญกับความท้าทายเมื่อมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์เกิดขึ้น เช่น การถูกกดดันจากลูกค้าให้ไม่เปิดเผยข้อบกพร่องในงบการเงิน หรือการต้องตรวจสอบบริษัทที่ตนเองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด
  • สภาพแวดล้อมที่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ กรณีที่ต้องไปลูกค้าหลายๆที่
    การปรับตัวไปยังกิจการลูกค้า จะต้องปรับตัวตามสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ เช่น สถานที่การทำงาน วัฒนธรรมองค์กรเช่น เวลา เข้างาน ออกงาน เป็นต้น

ซึ่งปัญหาและความท้าทายเหล่านี้ ทำให้วิชาชีพผู้ตรวจสอบบัญชีต้องอาศัยความรอบคอบ ความรู้ความสามารถ และการปฏิบัติตามจรรยาบรรณอย่างเข้มงวด เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของข้อมูลทางการเงินในสังคมจ้า

พอเราทราบแบบนี้แล้ว ถ้าเกิดว่า เราเจอผู้ตรวจสอบบัญชีบัญชี แล้วเค้าไม่ยิ้มให้เรา อย่าไปโกรธเค้าเลยนะคะ เพราะจากการแล้วต้องรับผิดชอบ แรงกดดันต่างๆ ไม่แปลกค่า ที่จะดูเครียดตลอดเวลาเลยค่า อิอิ

กรณีศึกษาจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาตที่ประสบความสำเร็จ

คุณบุญเลิศ กมลชนกกุล กับเส้นทางผู้สอบบัญชี PwC

กรณีศึกษาจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาตที่ประสบความสำเร็จ
กรณีศึกษาจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาตที่ประสบความสำเร็จ

กรณีศึกษาของ คุณบุญเลิศ กมลชนกกุล ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตที่ประสบความสำเร็จ เป็นตัวอย่างที่ดีของผู้ที่สามารถเติบโตในวิชาชีพผู้สอบบัญชีผ่านการพัฒนาตนเอง ความขยันหมั่นเพียร และการยึดมั่นในจรรยาบรรณทางวิชาชีพ

พื้นฐานและการศึกษา

คุณบุญเลิศเริ่มต้นจากการศึกษาด้านบัญชีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศไทย หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาได้เข้าทำงานในสำนักงานบัญชีระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการเรียนรู้การตรวจสอบบัญชีจากบริษัทข้ามชาติ และได้รับประสบการณ์ในการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีมาตรฐานสูง

เส้นทางการศึกษาของ คุณบุญเลิศกันก่อน กว่าจะมาเป็น ผู้สอบบัญชีและกรรมการบริหาร PwC  ชีวิตของคุณบุญเลิศก็เหมือนกับคนอื่นๆทั่วๆไป เริ่มต้นจากการศึกษาระดับปวช. จบจากโรงเรียนกรุงเทพการบัญชีวิทยาลัย จากนั้นไปเรียนต่ออนุปริญญา (Diploma) ทางด้านบัญชีที่ประเทศสิงคโปร์  หลังจากนั้นจึงไปต่อระดับปริญญาตรีที่ Leicester Polytechnic (ปัจจุบันคือ De Montfort University) ที่ประเทศอังกฤษ 2 ปี หลังจากจบปริญญาตรีด้านบัญชีและการเงินแล้ว จึงได้เริ่มต้นทำงานที่ PwC นั่นเอง

การก้าวสู่ตำแหน่งผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA)

คุณบุญเลิศให้ความเห็นว่า “สำหรับเด็กจบใหม่ พอเข้ามาในสำนักงานบัญชีจะมีตำแหน่งเป็น Audit Assistant ซึ่งหน้าที่คือ การไปกับทีม พี่ในทีมเขาจะมอบหมายให้เราตรวจสอบในส่วนที่ไม่ยากมากนักหรือไม่มีความเสี่ยงมาก เพราะว่าในส่วนที่ยากและมีความเสี่ยงมากจะต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญในการตรวจ

หลังจากนั้นปรับตำแหน่งเป็น Audit Assistant ประมาณ 2-3 ปี เราจะสามารถโตไปเป็น Senior Auditor ซึ่งจะมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีมแล้ว Senior Auditor จะมีลูกทีมเล็ก ๆ 2-3 คน ซึ่งก็จะมีหน้าที่นำทีมเข้าไปตรวจสอบที่กิจการที่ได้รับมอบหมาย

ถัดไปเราเรียกว่าตำแหน่ง Manager ซึ่งมีหน้าที่ดูแลทีมเล็ก ๆ หลายทีม โดย Manager จะได้รับมอบหมายให้ดูแลลูกค้าหลายราย อาจจะ 20 ราย ขึ้นอยู่กับขนาด หมายความว่าคุณจะมีลูกทีมที่คุณจะต้องดูแล 20 ทีม นอกจากนี้ Manager ก็จะเริ่มมีบทบาทที่สำคัญขึ้น ทั้งเรื่องการวางแผน และการติดต่อลูกค้า คุณจำเป็นต้องมีทักษะในการบริหารจัดการ เพราะคุณต้องจัดการเรื่องของเวลา จัดการเรื่องของคน จัดการเรื่องของทีม

หลังจากเป็น Manager ประมาณ 3 ปี จะมีโอกาสเติบโตเป็น Senior Manager  จะได้รับมอบหมายให้ดูแลลูกค้าจำนวนเพิ่มขึ้นหรือเป็นลูกค้าที่ได้รับความท้าทายมากขึ้น เช่น บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น

หลังจากนั้น ตำแหน่ง Senior Manager ก็จะเป็นตำแหน่ง Director ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไปเลย ซึ่งกลุ่มลูกค้าที่ Director ได้รับมอบหมายให้ดูแลก็จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้ยากมากนัก ตำแหน่ง Director จะยังไม่ได้ทำหน้าที่เซ็นรายงานรับรองการตรวจสอบ แต่จะมี Partner เป็นผู้รับผิดชอบเซ็นแทน

สุดท้ายเราอาจจะมีโอกาสขึ้นเป็น Partner ของสำนักงานได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับผลงานและขึ้นอยู่กับ Partnership ขององค์กรว่าเขาพร้อมที่จะยอมรับเราขึ้นมาเป็นหุ้นส่วนหรือไม่ด้วย ถ้าลองนับระยะเวลาทั้งหมด การที่จะขึ้นมาเป็น Partner ได้ อาจจะต้องใช้เวลาถึง 14-15 ปี แต่ช่วงเวลาทั้งหมดที่พูดมามันก็ไม่ได้ตายตัวเสมอไปมันก็อยู่ที่ตัวเราด้วย”

ความเป็นผู้นำและการพัฒนาทีมงาน

นอกจากการทำงานในฐานะผู้สอบบัญชีแล้ว คุณบุญเลิศยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้นำทีมตรวจสอบบัญชี เขาสนับสนุนให้สมาชิกในทีมพัฒนาทักษะของตนเอง และเน้นการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทีมมีความเชี่ยวชาญในการจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ที่ซับซ้อนขึ้น การเป็นผู้นำที่ให้คำปรึกษาและสนับสนุนพนักงานทำให้ทีมงานของเขาสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จในการตรวจสอบบัญชีหลายโครงการ

ความสำเร็จในวิชาชีพและจรรยาบรรณ

สิ่งที่ทำให้คุณบุญเลิศโดดเด่นไม่ใช่เพียงแค่ทักษะในการตรวจสอบบัญชีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการยึดมั่นในจรรยาบรรณวิชาชีพ ความซื่อสัตย์ ความเป็นอิสระ และการปฏิเสธความกดดันที่อาจเกิดจากลูกค้าหรือผู้บริหารที่ต้องการให้ผลการตรวจสอบออกมาในทางที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา ด้วยจรรยาบรรณที่แข็งแกร่ง เขาจึงเป็นที่ยอมรับและได้รับความไว้วางใจจากทั้งลูกค้าและเพื่อนร่วมวิชาชีพ

บทเรียนจากความสำเร็จ

กรณีศึกษาของคุณบุญเลิศ กมลชนกกุล แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จในวิชาชีพผู้สอบบัญชีไม่เพียงมาจากการมีทักษะทางเทคนิคที่ยอดเยี่ยม แต่ยังมาจากความซื่อสัตย์ในการทำงาน ความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเอง และการรักษามาตรฐานวิชาชีพอย่างเคร่งครัด ความสำเร็จของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ต้องการเติบโตในวิชาชีพนี้ โดยเฉพาะในด้านความเป็นผู้นำ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และการทำงานอย่างเป็นระบบ

กรณีนี้ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาความซื่อสัตย์ในงานตรวจสอบบัญชี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในระบบการบัญชี การเงินและธุรกิจของประเทศ

cpa คือใคร มีหน้าที่อะไรบ้าง เราพอจะทราบกันไปแล้วนะคะ หากใครอยากทราบเพิ่มเติม เส้นทางบัญชีอย่างละเอียด ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่
เส้นทาง CPA ต้องทำอย่างไร

แรงบันดาลใจสำหรับผู้สนใจวิชาชีพบัญชี

สำหรับผู้ที่สนใจวิชาชีพผู้ตรวจสอบบัญชี แรงบันดาลใจในการเลือกเดินเส้นทางสายนี้อาจมาจากหลายแหล่ง ซึ่งการเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีไม่เพียงแต่เป็นอาชีพที่มีความท้าทาย แต่ยังมีโอกาสในการเติบโตที่มากและมีบทบาทสำคัญในการรักษาความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในระบบเศรษฐกิจ

เหตุผลและแรงบันดาลใจที่น่าสนใจสำหรับวิชาชีพบัญชี

  • โอกาสในการพัฒนาความรู้และพัฒนาตัวเอง
  • ความมั่นคงทางอาชีพ
  • การพัฒนาทักษะการจัดการและการเป็นผู้นำ
  • การเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
  • ความภาคภูมิใจในความเป็นมืออาชีพ

การเตรียมตัวและการพัฒนาตนเองในอาชีพ

การเตรียมตัวและการพัฒนาตนเองในอาชีพผู้ตรวจสอบบัญชีเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้ที่สนใจสามารถประสบความสำเร็จในสายงานนี้ได้ เนื่องจากวิชาชีพผู้ตรวจสอบบัญชีต้องอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และความรับผิดชอบในการทำงาน ดังนั้น การเตรียมความพร้อมและการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องจึงมีบทบาทสำคัญ ต่อไปนี้คือแนวทางการเตรียมตัวและพัฒนาตนเองสำหรับผู้ที่สนใจอาชีพผู้ตรวจสอบบัญชี

  • ศึกษาหลักสูตรการบัญชีและการสอบบัญชี
  • การสอบรับใบอนุญาตผู้ตรวจสอบบัญชี (CPA)
  • ฝึกฝนในสำนักงานสอบบัญชี
  • พัฒนาทักษะการวิเคราะห์และการแก้ปัญหา
  • การพัฒนาทักษะการสื่อสารและการทำงานเป็นทีม
  • ติดตามการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและมาตรฐานการบัญชี
  • การเรียนรู้และพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง

สุดท้ายนี้ หวังว่าบทความนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ นักบัญชีทุกคนที่อยากเป็น CPA กันนะคะ นอกจากจะเรียนรู้กันไปแล้วว่า CPA คือใคร มีหน้าที่อะไร สำหรับใครที่อยากเข้าใจอาชีพนี้มากยิ่งขึ้นว่าต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง เราขอแนะนำไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความนี้เลยจ้า รู้จักอาชีพผู้ตรวจสอบบัญชี ต้องจบอะไร ทำงานแบบไหน

คอร์สอบรมเก็บชั่วโมง CPD
คอร์สอบรมเก็บชั่วโมง CPD

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line: @cpdacademy

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า