ถ้าอยากรู้ว่าธุรกิจมีผลประกอบการดีไหม ตัวชี้วัดตัวแรกที่เรามักจะเช็คก็คือ กำไร ถ้ายิ่งกำไรเยอะก็เป็นเรื่องที่ดี แต่จริงๆ แล้วกำไรเยอะหรือน้อยนั้น เราอาจวัดด้วยตัวเลขมูลค่าเงินไม่ได้เสมอไป เพราะบริษัทเล็กๆ กำไรก็น่าจะน้อยกว่าบริษัทใหญ่ๆ อยู่แล้ว แต่ก็ใช่ว่าพวกเค้าจะมีศักยภาพในการทำกำไรด้อยกว่าจริงไหมคะ
แล้วถ้าเราอยากวัดความสามารถในการทำกำไรแบบที่เอาไปเปรียบเทียบกันได้กับธุรกิจคู่แข่ง หรือบริษัทต่างไซด์กันนั้นเราจะทำอย่างไร ลองมาศึกษากันในบทความนี้ได้เลย
ความสามารถการทำกำไรคืออะไร
ความสามารถการทำกำไร (Profitability) หมายถึง ความสามารถที่จะสร้างผลตอบแทนจากกลับมาจากหน่วยชี้วัดต่างๆ เช่น รายได้ สินทรัพย์ หรือเงินลงทุนที่เจ้าของธุรกิจลงทุนไป ยิ่งธุรกิจมีความสามารถในการทำกำไรกลับมาสูงยิ่งแปลว่า เป็นธุรกิจที่มีผลประกอบการดี
วิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไรทำยังไง
ปกติแล้วเรามักจะวัดความสามารถการทำกำไรในรูปแบบ % เทียบกับตัวฐานต่างๆ เช่น เทียบกับรายได้ สินทรัพย์ หรือเงินลงทุนส่วนของเจ้าของ
ทีนี้อัตราส่วนความสามารถการทำกำไรที่เรามักใช้กันบ่อยๆ โดยการเปรียบเทียบกับรายได้นั้นมีอะไรบ้าง CPD Academy คัดมาให้ทุกคนแล้วค่ะ
1. อัตราส่วนกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)
อัตราส่วนกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) คือ การวัด % กำไรจากการขาย/บริการขั้นแรกโดยไม่สนว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการดำเนินการเท่าไร
2. อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Ratio หรือ EBIT)
อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Ratio หรือ EBIT) คือ การวัด % กำไรจากการขาย/บริการ ค่าใช้จ่ายในการขาย และค่าใช้จ่ายในการบริหาร รวมๆ แล้วเราเรียกว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ซึ่งยังไม่รวมถึงค่าดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายภาษี
3. อัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ (Earning before Tax: EBT)
อัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ (Earning before Tax: EBT) คือ การวัด % กำไรจากค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่เกิดขึ้นในธุรกิจยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
4. อัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Income)
อัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Income) คือ การวัด % กำไรสุทธิจากการทำธุรกิจทั้งหมดเปรียบเทียบกับรายได้ ว่าสุดท้ายแล้วรายได้หักค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะเหลือกำไรสุทธิเป็นเท่าไรกันแน่

และนอกจากการคำนวณกำไรเปรียบเทียบกับรายได้แล้ว เราอยากให้ทุกคนทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับกำไรเปรียบเทียบกับองค์ประกอบอื่นๆ อย่างเช่น
- กำไรต่อสินทรัพย์ (Return on Asset: ROA)
การเอากำไรมาเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ จะทำให้เราเห็นว่าสินทรัพย์ที่ธุรกิจลงทุนไปได้ผลกำไรตอบแทนกลับมาเป็นเท่าไรกันนะ บางทีอาจจะทำให้เราถึงบางอ้อว่า ถ้าบริหารสินทรัพย์ไม่ดี รายได้ก็ไม่มา กำไรก็ไม่เกิด
- กำไรต่อส่วนของเจ้าของ (Return on Equity: ROE)
อัตราส่วนนี้เป็นการเปรียบกำไรกับส่วนของเจ้าของ ซึ่งเป็นต้นตอของเงินลงทุนในธุรกิจ ปกติแล้วส่วนของเจ้าของนั้นคือ ส่วนที่เหลืออยู่จากสินทรัพย์หักด้วยหนี้สิน ถ้ามีกำไรเยอะ เจ้าของลงทุนน้อยก็ยิ่งดี เพราะแปลว่าเจ้าของได้ผลตอบแทนกลับไปเต็มๆ จากธุรกิจนี้

ตัวอย่างคำนวณความสามารถทำกำไร
เราจะคำนวณความสามารถการทำกำไรได้อย่างไร ลองมาดูตัวอย่างจากงบการเงินจริงกันค่ะ

ถ้าเราหยิบงบกำไรขาดทุนขึ้นมาแล้วลองกำหนดให้รายได้เท่ากับร้อยละ 100 จากนั้นลองเช็คอัตราส่วนของกำไรในแต่ละขั้นเราจะพบว่า บริษัทแห่งนี้มีกำไรในแต่ละขั้นไม่น้อยเลยทีเดียว
ความสามารถการทำกำไร | ตัวย่อ | สูตร | คำนวณได้ |
กำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) | GP | (รายได้-ต้นทุนขาย)/รายได้ | 18% |
กำไรจากการดำเนินงาน (Earnings before Interest and Tax) | EBIT | (รายได้-ต้นทุนขาย-ค่าใช้จ่ายในการขาย-ค่าใช้จ่ายในการบริหาร) /รายได้ | 12% |
กำไรก่อนภาษีเงินได้ (Earnings before Tax: EBIT) | EBT | (รายได้-ต้นทุนขาย-ค่าใช้จ่ายในการขาย-ค่าใช้จ่ายในการบริหาร-ดอกเบี้ย) /รายได้ | 9% |
กำไรสุทธิ (Net Income) | NI | กำไรสุทธิ/รายได้ | 8% |
และถ้าลองคำนวณ ROA และ ROE ของกิจการโดยเอาข้อมูลจากงบแสดงฐานะการเงินมาเปรียบเทียบจะได้ตัวเลขตามนี้
ความสามารถการทำกำไร | ตัวย่อ | สูตร | คำนวณได้ |
กำไรต่อสินทรัพย์ (Return on Assets) | ROA | กำไรสุทธิ/สินทรัพย์ | 10.57% |
กำไรต่อส่วนของเจ้าของ (Return on Equity) | ROE | กำไรสุทธิ/ส่วนของเจ้าของ | 36.76% |
ถ้าลองเปรียบเทียบกันแล้วธุรกิจนี้ทำกำไรได้ต่อสินทรัพย์ 10% และทำกำไรได้ต่อส่วนของเจ้าของ 36% ก็ถือว่าเป็นธุรกิจที่ความสามารถการทำกำไรค่อนข้างดี
ข้อควรระวัง
แม้ว่าเราจะวิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไรได้ไม่ยาก แต่สิ่งที่ควรระลึกไว้เสมอในการวิเคราะห์อัตราส่วนนี้ คือ
1. ต้องไปเช็คให้ชัวร์ว่ารายได้รวม ประกอบด้วยรายได้จากการทำธุรกิจหลักจริงๆ ไหม บางธุรกิจอาจมีรายได้อื่นแทรกเข้ามาในปีนั้น เช่น รายได้อื่นจากการปรับโครงสร้างหนี้ ทำให้ผลกำไรในปีดูดีกว่าปกติ
ตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดจากงบการเงินของ บริษัท การบินไทย จำกัดมหาชน ในปี 2564 ธุรกิจมีกำไรกว่า 55,000 ล้านบาท แต่ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ใช่รายได้หลักของธุรกิจ


2. อัตราส่วนการทำกำไร อาจเปรียบเทียบได้กับตัวเองในอดีต หรือคู่แข่ง หรืออุตสาหกรรม เพราะเป็นบรรทัดฐานที่ดีในการวิเคราะห์ว่าธุรกิจมีความสามารถในการทำกำไรดีหรือแย่ขึ้นอย่างไรบ้าง
3. ผลการทำกำไรในอดีต ไม่อาจบอกถึงผลการทำกำไรในอนาคตเสมอไป เพราะว่าธุรกิจทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การยึดติดกับกำไรในอดีต โดยไม่สนใจนวัตกรรมใหม่ หรือหารายได้ช่องทางใหม่อาจทำให้ผลการดำเนินงานในปัจจุบันนั้นไม่ดีอย่างที่คิดก็เป็นได้
การวัดผลประกอบการจากการทำกำไรของธุรกิจนั้นสามารถเช็คได้ง่ายๆ จากอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ ที่เราอธิบายมาข้างต้น แต่สิ่งที่สำคัญของการวิเคราะห์ผลประกอบการนั้น อาจไม่ได้หยุดอยู่แค่การวิเคราะห์ผลการทำกำไร แต่เราต้องวิเคราะห์เรื่องอื่นๆ อย่างเช่น
- ประสิทธิภาพการดำเนินงาน
ประกอบด้วย เพราะการทำกำไรเป็นเพียงแค่ผลดำเนินงานในปีนั้นๆ แต่ในอนาคตธุรกิจจะเติบโตได้ดีไหม อยู่รอดหรือเปล่าอาจจะต้องเช็คปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วยนั่นเองค่ะ
อบรมบัญชีเก็บชั่วโมง CPD ออนไลน์ง่ายๆ ได้ที่บ้าน
สอบถามได้ที่นี่ Line: @cpdacademy