บ่อยครั้งที่นักบัญชีอย่างเราเจอธุรกิจล้มแบบไม่เป็นท่า หรือว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัวจนไม่สามารถเปิดกิจการต่อไปได้ แต่จะดีไหมถ้าเรารู้จักโครงสร้างเงินทุน แล้วช่วยเจ้าของธุรกิจวิเคราะห์งบการเงินเพื่อคาดการณ์อนาคตว่าโครงสร้างแบบนี้มีข้อดีข้อเสียอย่างไร แล้วธุรกิจจะไปรอดหรือไม่
วันนี้ CPD Academy จะพาทุกคนมาเจาะลึกเรื่องควรรู้เกี่ยวกับเงินทุน และวิธีวิเคราะห์จากงบการเงินแบบง่ายๆ กันค่ะ
โครงสร้างเงินทุนคืออะไร?
โครงสร้างเงินทุน (Capital Structure) คือ ส่วนประกอบของแหล่งเงินทุนระยะยาว ว่ามาจากการกู้ยืม หรือมาจากส่วนของเจ้าของ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ธุรกิจต้องคิดเป็นเรื่องแรกๆ เพราะว่าถ้าจะตั้งธุรกิจได้ก็ต้องมีเงินทุนก่อนจริงมั้ยคะ และเงินทุนที่ว่านั้นมาจาก 2 แหล่งนี้ ไม่หนีไปไหน
- เป็นหนี้ = การกู้ยืม
- ใช้เงินตัวเอง = ส่วนของเจ้าของ
สุดท้ายรวบรวมทุนเสร็จแล้วจึงค่อยคิดต่อว่าเงินทุนทั้งหมดที่ได้มาจะไปลงในสินทรัพย์อะไรต่อไป และนี่คือ หลักการง่ายๆ ของสมการ
สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ
สินทรัพย์ไม่มีทางเกิด ถ้าไม่มีเงินทุนจาก “หนี้สิน” หรือ “ส่วนของเจ้าของ”

หนี้สินกับส่วนของเจ้าของ ข้อดี-ข้อเสียต่างกันยังไง
การจัดหาเงินทุนจากทั้ง 2 แหล่งนั้นมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ดังต่อไปนี้
หนี้สิน | ส่วนของเจ้าของ |
ข้อดี – จ่ายดอกเบี้ยคงที่ คาดเดาได้ – ไม่ต้องใช้เงินส่วนตัวเยอะ | ข้อดี – ไม่มีดอกเบี้ย – ความเสี่ยงต่ำ |
ข้อเสีย – ความเสี่ยงสูง หากไม่สามารถชำระเงินแก่เจ้าหนี้ได้ – มีความกดดันเรื่องการจ่ายดอกเบี้ยและปฏิบัติตามเงื่อนไขการกู้ยืมต่างๆ – ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน | ข้อเสีย – มีต้นทุนค่าเสียโอกาส หากลงทุนแล้วไม่ได้กำไร – อาจต้องระดมทุนจากหลากฝ่าย เสียสัดส่วนความเป็นเจ้าของ – ทำให้อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรจาก ROE ต่ำ |
แต่ละธุรกิจก็จะมีวิธีคิดของตัวเองค่ะว่าเราจะเอาเงินทั้งหมดมาจากไหนดี บางธุรกิจเน้นกู้ยืมเพราะมั่นใจว่ากำไรที่หามาได้นั้น สามารถจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ได้สบายๆ แต่บางธุรกิจเน้นเสี่ยงน้อยๆ เอาเงินส่วนตัวมาลงทุนดีกว่า
โครงสร้างของเงินทุนวิเคราะห์ยังไง?
เข้าใจที่มาที่ไปของเงินทุนกันแล้ว คราวนี้ทุกคนคงอยากรู้ว่าการวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุน สูตรที่ใช้วิเคราะห์มีอะไรบ้าง สูตรที่ใช้วิเคราะห์เงินลงทุนมี 3 สูตรสุดฮิต ได้แก่
1. อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของ (Debt/Equity Ratio)
อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของ (Debt/Equity Ratio) คือ การเปรียบเทียบระหว่างหนี้สินกับส่วนของเจ้าของ ว่ามีสัดส่วนเท่าไรนะ
ตัวอย่างเช่น
DE Ratio = 0.80 หมายถึง มีหนี้สินอยู่ 80 บาท เทียบกับส่วนของเจ้าของ 100 บาท ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะไม่ชอบใจเวลาธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินเยอะๆ
ธุรกิจปกติ ไม่ควรมีอัตรา DE Ratio สูงกว่า 1.5 หรือ 2 เท่าเนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถจ่ายชำระหนี้ได้ และธนาคารที่ให้เงินกู้ส่วนใหญ่มักจะมีข้อกำหนดเรื่องนี้ เพราะพวกเค้าคงไม่อยากให้เงินกู้กับธุรกิจเสี่ยงสูงแบบ no limit เป็นแน่
2. อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ (Debt/Asset Ratio)
อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ (Debt/Asset Ratio) คือ การเปรียบเทียบระหว่างหนี้สินกับสินทรัพย์ ว่ามีสัดส่วนเท่าไร
ตัวอย่างเช่น
DA Ratio = 0.50 หมายถึง มีหนี้สินอยู่ 50 บาท เทียบกับสินทรัพย์รวม 100 บาท หรือสินทรัพย์กว่า 50% มาจากหนี้สินนั่นเอง เช่นเดียวกับ DE Ratio คงไม่มีใครอยากให้สัดส่วนหนี้สินเยอะๆ เมื่อเทียบกับสินทรัพย์เป็นแน่

3. อัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio)
อัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio) คือ การเปรียบเทียบระหว่างกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี กับ ดอกเบี้ยจ่าย
เนื่องจากปัญหานึงของการมีหนี้ ก็คือ การมีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยตามสัญญา ทีนี้คำถามถัดมาของคนจ่ายดอกเบี้ยก็คือว่า เอ…แล้วเราจ่ายหนี้ไหวไหมนะ การคำนวณความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยจึงตอบโจทย์ในเรื่องนี้ได้

ตัวอย่างเช่น
Interest Coverage Ratio = 20 หมายถึง มีกำไรเพียงพอที่จะจ่ายดอกเบี้ยถึง 20 เท่า ดังนั้น ถ้าอยากมีความปลอดภัยไร้กังวลจากการล้มละลาย ยิ่งอัตราส่วนนี้สูงๆ ก็เป็นเรื่องที่ดี
ถ้าใครยังกังวลว่าจะจำสูตรทั้ง 3 นี้ไม่ได้ ไม่เป็นไรลองไปดูสรุปกันในภาพนี้เลยค่ะ

ตัวอย่างการคำนวณอัตราส่วนโครงสร้างทุน
แหล่งข้อมูลในการวิเคราะห์อัตราส่วนโครงสร้างทุนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ดี คือ เว็บไซด์ของตลาดหลักทรัพย์
เพียงแค่ใส่ชื่อหุ้นที่เราต้องการจะเช็คข้อมูล และกดไปที่เมนูงบการเงิน > ผลประกอบการสำคัญ ตามนี้
เราก็จะเห็นข้อมูลงบการเงินสำคัญๆ บนหน้าจอแล้ว สมมติถ้าเราอยากเช็คโครงสร้างทุนของ CPF ก็ใส่ตัวย่อบริษัทลงไป เท่านี้เราก็สามารถคำนวณ DE Ratio และ DA Ratio ได้ง่ายๆ แล้ว

อยากวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุนต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง?
เราจะไม่สามารถวิเคราะห์โครงสร้างทุนของธุรกิจตัวเองได้เลย ถ้าไม่มีข้อมูลจากงบการเงิน 2 งบนี้
- งบแสดงฐานะการเงิน ที่เป็นแหล่งข้อมูลของ สินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ
- งบกำไรขาดทุน ที่บอกข้อมูลกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี และดอกเบี้ยจ่าย
นอกจากนี้ หมายเหตุประกอบงบการเงินก็เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญ สำหรับคนที่อยากขุดว่าหนี้สินแต่ละชนิดมีดอกเบี้ยอย่างไร มีภาระนานขนาดไหน และมีหนี้สินประเภทอะไรบ้าง
พอจะเข้าใจความหมายของโครงสร้างเงินทุน และวิธีการวิเคราะห์แล้ว ทีนี้ถึงเวลาที่เพื่อนๆ ทุกคนจะลงเปิดงบการเงินแล้ววิเคราะห์โครงสร้างทุน หรือความสามารถในการอยู่รอดของธุรกิจแบบง่ายๆ แล้วล่ะ
ถ้าอยากทำความเข้าใจเรื่องอัตราส่วนอื่นๆ เพิ่มเติม ลองดูที่บทความเหล่านี้ได้เลยค่ะ