ความรู้บัญชี

วิเคราะห์งบการเงินแนวตั้งแบบง่าย นักบัญชีช่วยวิเคราะห์ได้ยังไงบ้าง

วิเคราะห์งบการเงินแนวตั้งแบบง่าย นักบัญชีช่วยวิเคราะห์ได้ยังไงบ้าง

การวิเคราะห์งบการเงินเป็นงานนึงที่นักบัญชีทุกคนควรทำให้เป็น เพราะจะช่วยให้เจ้าของธุรกิจเข้าใจสุขภาพของธุรกิจตัวเองได้ง่ายมากยิ่งขึ้น วิธีวิเคราะห์งบที่นิยมกันมากวิธีหนึ่งก็คือ การวิเคราะห์งบการเงินแนวตั้ง ซึ่งทำให้เรารู้องค์ประกอบของงบการเงินว่าประกอบด้วยอะไรเป็นส่วนหลักๆ และสามารถต่อยอดไปวิเคราะห์เชิงลึกสำหรับบัญชีที่สำคัญๆ ได้ แล้วการวิเคราะห์งบแบบแนวตั้งนั้น มันคืออะไร มีวิธีคำนวณแบบไหน เราลองไปศึกษาวิธีการพร้อมตัวอย่างไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

วิเคราะห์งบการเงินแนวตั้งคืออะไร?

การวิเคราะห์งบแบบแนวตั้ง ภาษาอังกฤษเรียกว่า Common Size Analysis หรือ Vertical Analysis คือ การเปรียบเทียบตัวเลขแต่ละรายการกับยอดรวมในงบการเงินเดียวกัน เพื่อให้เห็นว่าแต่ละบรรทัดนั้นมีองค์ประกอบเป็นสัดส่วนเท่าไรของยอดรวมทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น ให้สินทรัพย์รวมเป็นฐาน 100% ของงบแสดงฐานะการเงิน

สูตรวิเคราะห์งบแนวตั้ง

การวิเคราะห์งบการเงินแบบแนวตั้งนั้น มีสูตรง่ายๆ 2 สูตรแยกตามงบการเงิน ดังนี้

งบกำไรขาดทุน = จำนวนเงินแต่ละบรรทัด/รายได้ x 100

งบแสดงฐานะการเงิน = จำนวนเงินแต่ละบรรทัด/สินทรัพย์รวม x 100

สูตรการวิเคราะห์งบการเงินแนวตั้ง
สูตรการวิเคราะห์งบการเงินแนวตั้ง

ตัวอย่างวิเคราะห์งบแนวตั้ง

เราทำความเข้าใจสูตรที่ใช้วิเคราะห์งบแบบแนวตั้งหรือ Common Size ไปแล้ว ถัดมาเราลองมาดูตัวอย่างการวิเคราะห์งบจากตัวเลขจริงกัน

1. วิเคราะห์งบกำไรขาดทุนแนวตั้ง

งบกำไรขาดทุนจะมีข้อมูลรายได้ และค่าใช้จ่ายต่างๆ ใส่ไว้อย่างครบถ้วน เมื่อเราวิเคราะห์งบกำไรขาดทุนเราจะกำหนดให้รายได้รวมเป็นฐานของการวิเคราะห์งบการเงิน แล้วบรรทัดอื่นๆ เราจะลองเช็คว่ามีสัดส่วนเป็นเท่าไรเมื่อเทียบกับรายได้

วิเคราะห์งบกำไรขาดทุนแนวตั้ง
วิเคราะห์งบกำไรขาดทุนแนวตั้ง

ยกตัวอย่างเช่น ในงบการเงินนี้ มีรายได้รวมในปี 2564 เท่ากับ 299,130,137 บาท คิดเป็น 100% และต้นทุนขายคิดเป็น 64% จากนั้นจะเหลืออัตราส่วนกำไรขั้นต้นจำนวน 36% และเราก็คำนวณอัตราส่วนบรรทัดอื่นๆ ไปตามลำดับ สรุปข้อมูลสำหรับปี 2564 และ 2563 ได้ตามนี้

 25642563
รายได้100%100%
ต้นทุนขาย64%53%
ค่าใช้จ่ายในการขาย15%24%
ค่าใช้จ่ายในการบริหาร14%16%
ต้นทุนทางการเงิน0%1%
ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้1%1%
กำไรสุทธิ5%5%

ถ้าเราลองคิดตาม การวิเคราะห์งบการเงินวิธีนี้ทำให้เราเห็นว่ารายได้ที่ 100% ดำเนินธุรกิจแล้วจะเหลือกำไรสุทธิเพียงแค่ 5% สำหรับทั้ง 2 ปี ซึ่งเกิดจากค่าใช้จ่ายต่างๆ ในกิจการกว่า 95% ในปี 2564 และ 2563 สัดส่วนต้นทุนขายมีสัดส่วนสูงสุด และค่อยๆ ลดหลั่นมาเป็นค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารตามลำดับ

ถ้าพูดง่ายๆ อาจอธิบายได้ว่า สินค้าที่ตั้งราคาขายไว้ 100 บาท หักลบค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วจะเหลือกำไรเพียงแค่ 5 บาทเท่านั้น

2. วิเคราะห์งบแสดงฐานะการเงินแนวตั้ง

งบแสดงฐานะการเงิน มีข้อมูลสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ ซึ่งแสดงฐานะการเงินของกิจการ ณ วันที่สิ้นปี

ถ้าเรากำหนดยอดรวมสินทรัพย์เป็น 100% แล้วรายการที่เหลือในงบแสดงฐานะการเงินคิดเป็นสัดส่วนเท่าใดเราลองมาดูในภาพนี้กัน

จากองค์ประกอบของสินทรัพย์ทั้งหมด เราสรุปเป็นอัตราส่วนร้อยละแบบตารางนี้ แล้วพบว่าสัดส่วนสินทรัพย์ที่สูงสุด 2 อันดับสำหรับปี 2564 และ 2563 นั้น คือ สินค้าคงเหลือ และที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ ซึ่งถือว่าเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ และที่สำคัญช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจด้วย

 25642563
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด1.4%1.0%
ลูกหนี้การค้าและลูกหนี้อื่น6.3%6.5%
สินค้าคงเหลือ44.8%39.9%
สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น0.1%0.2%
ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์47%51.7%
สินทรัพย์ไม่มีตัวตน0.2%0.5%
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่น0.2%0.2%
สินทรัพย์รวม100%100%

นอกจากนี้สำหรับฝั่งหนี้สินและส่วนของเจ้าของ ถ้ากำหนดให้ยอดรวมเท่ากับ 100% บรรทัดที่เหลือในงบจะมีสัดส่วนเป็นเท่าไรเราสรุปให้แล้วในนี้

 25642563
เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน14.5%19.5%
เจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่น16.4%11.2%
เงินกู้ยืมระยะสั้น22.6%17.2%
หนี้สินหมุนเวียนอื่น3.8%4.2%
ประมาณการหนี้สินผลประโยชน์พนักงาน2.1%2.1%
ทุนจดทะเบียน6.8%7.5%
กำไรสะสม33%37.6%
องค์ประกอบอื่น0.7%0.7%
หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น100%100%

จากการตารางสรุปสัดส่วนหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น องค์ประกอบที่เยอะที่สุด 2 อันดับแรกในปี 2564 คือ เงินกู้ยืมระยะสั้น และกำไรสะสม แต่ในปี 2563 เป็นเงินเบิกเกินบัญชีฯ และกำไรสะสม ซึ่งอาจวิเคราะห์ได้ว่ากิจการเปลี่ยนแหล่งเงินทุนจากเงินเบิกเกินบัญชีธนาคารมาเป็นเงินกู้ยืมระยะสั้นจากกรรมการแทน เพราะว่าอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าก็เป็นได้

ข้อดี-ข้อเสีย ของการวิเคราะห์งบการเงินแนวตั้ง

Briefly finance กล่าวไว้ว่า การวิเคราะห์งบการเงินแนวตั้งนั้นมีทั้งข้อดีและเสีย สรุปง่ายๆ ดังนี้

ข้อดีข้อเสีย
เข้าใจได้ง่ายเปรียบเทียบข้ามบริษัทได้ช่วยให้เข้าใจแนวโน้มธุรกิจในอดีตที่ผ่านมาไม่มีอัตราส่วนที่เป็นมาตรฐานไม่สนใจขนาดของธุรกิจ

ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องใช้การวิเคราะห์แนวตั้งควบคู่กับการวิเคราะห์งบแบบอื่นๆ เช่น วิเคราะห์งบการเงินแนวนอน วิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน วิเคราะห์เงินสด เป็นต้น

ทั้งหมดนี้เป็นความหมาย วิธีการ และตัวอย่างการวิเคราะห์งบแนวตั้งอย่างง่ายค่ะ ซึ่งมีประโยชน์มากๆ เลยในการทำงาน ซึ่งถ้าลองวิเคราะห์แบบง่ายเป็นแล้ว ในอนาคตเราสามารถเจาะลึกลงไปวิเคราะห์ในแต่ละบัญชีได้เลยค่ะว่าประกอบด้วยอะไรอีกบ้าง แบบนี้ยิ่งทำให้เราเก่งขึ้น และทำงานได้ดียิ่งขึ้นเลยนะคะ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า