นักบัญชีหลายคนน่าเคยเรียนเกี่ยวกับเรื่องวิเคราะห์งบการเงินมาพอสมควรแล้ว แต่เคยสงสัยมั้ยว่าเวลาพอทำงาน ทำไมมันถึงยากกว่าที่เรียนนักนะ ด้วยความที่ตอนทำงานอาจจะไม่ใช่แค่การคำนวณเท่านั้น แต่เราต้องสามารถวิเคราะห์และสรุปความสัมพันธ์ต่างๆ ให้ผู้บริหารเข้าใจว่า อัตราส่วนที่คำนวณได้นั้นมีความหมายอย่างไรกันนะ ในวันนี้ถ้าใครกำลังเจอปัญหาว่าวิเคราะห์งบไม่สำเร็จสักที CPD Academy มีตัวอย่างการวิเคราะห์อัตราส่วนการเงินแบบง่ายมาให้ศึกษากันค่ะ
เริ่มต้นจากข้อมูลในงบการเงิน
อยากวิเคราะห์งบก็ต้องมีงบการเงินเสียก่อน ตัวอย่างงบการเงินที่เราหยิบยกขึ้นมาเป็นงบการเงินของบริษัท CPD Academy ที่ทำธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายยาสมุนไพรแบบเม็ด และแบบน้ำ
ลองมาดูกันค่ะว่างบที่เรามีนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง
- งบแสดงฐานะการเงิน แสดงข้อมูลฐานะการเงินของบริษัท ณ วันที่สิ้นปี 31 ธันวาคม 2564 และ 2563 อย่างที่รู้กันดีว่างบนี้เกิดจากสมการ
สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ

- งบกำไรขาดทุน แสดงผลการดำเนินงานของธุรกิจ สำหรับงวดประจำปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 และ 2563 ซึ่งเกิดจากสมการ
รายได้ – ค่าใช้จ่าย = กำไร (ขาดทุน)

เพื่อนๆ ลองสำรวจงบทั้งสองในรูปภาพกันนะคะ แล้วลองดูว่าถ้าเราแค่อ่านงบสองงบนี้ เราอาจจะไม่สามารถตัดสินได้ว่างบนี้ดีหรือไม่ ถ้าอยากรู้ก็ต้องลองวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินในขั้นตอนถัดไป
ตัวอย่างการวิเคราะห์อัตราส่วนการเงิน
จากงบการเงินที่มีสำหรับ 2 ปี เราลองมาวิเคราะห์อัตราส่วนในมุมมองต่างๆ กันดูค่ะ
1. วิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไร
อัตราส่วนกลุ่มนี้จะช่วยวัดความสามารถในการทำกำไรในแต่ละขั้น โดยเปรียบเทียบกับรายได้ กำไรที่แตกต่างกันในแต่ละขั้นนั้นบ่งบอกถึงความสามารถในการตั้งราคาสินค้า และการควบคุมค่าใช้จ่ายด้วย โดยกิจการที่มีอัตราส่วนนี้ยิ่งสูงก็ยิ่งดี
สำหรับใครที่ยังสงสัยว่าความสามารถในการทำกำไรวิเคราะห์ยังไง คำนวณแบบไหนลองไปศึกษาเพิ่มเติมที่นี่ได้เลย: ความสามารถในการทำกำไรคืออะไร วิเคราะห์แบบไหนได้บ้าง

เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างปี 2564 และ 2563 พบว่าอัตราส่วนในการทำกำไรอย่างกำไรขั้นต้น (GP) ลดลงจากปีที่จาก 47.1% เป็น 36.4% ซึ่งลดลงจากเดิมถึง 10.7% แต่ในขณะที่อัตราส่วนการทำกำไรอื่นๆ อย่างเช่น กำไรจากการดำเนินงาน (EBIT) กำไรก่อนภาษี (EBT) และกำไรสุทธิ (NI) เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ สาเหตุเกิดจากในปี 2564 กิจการมีต้นทุนขายที่สูงขึ้นในอัตราส่วนที่มากกว่าปีก่อน แต่อย่างไรก็ตามกิจการได้บริหารค่าใช้จ่ายในการขาย เช่น ค่าโฆษณาการตลาด ค่าขนส่ง ให้ลดลงได้ ทำให้ในภาพรวมแม้ว่ากำไรขั้นต้นจะลดลงถึง 10.7% แต่ก็ยังมีกำไรในส่วนอื่นๆ เพิ่มขึ้นหรือใกล้เคียงกับปีก่อน ถือว่าในภาพรวมยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี
2. วิเคราะห์ความสามารถในการดำเนินงาน
อัตราส่วนกลุ่มนี้จะช่วยวิเคราะห์ความสามารถในการบริหารสินทรัพย์ว่าเปลี่ยนไปเป็นรายได้ได้ดีมากน้อยขนาดไหน โดยแบ่งสินทรัพย์เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
- สินทรัพย์รวม
- ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์
เมื่อรายได้เป็นตัวเศษ และสินทรัพย์เป็นตัวส่วน พอเปรียบเทียบกันแล้ว เราย่อมอยากให้อัตราส่วนนี้มีค่าเยอะๆ ใช่ไหมคะ เพราะมันหมายถึงว่าสินทรัพย์มีความสามารถในการดำเนินงานที่ดี หรือมีประสิทธิภาพนั่นเอง

จากการคำนวณอัตราส่วนความสามารถในการดำเนินงาน กิจการมีอัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์มาเป็นรายได้ระหว่างปี 2564 และ 2563 ใกล้เคียงกัน แต่อัตราส่วนหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวรมาเป็นรายได้นั้นมีสูงขึ้นจากเดิม 2 เท่า กลายเป็น 2.2 เท่า สาเหตุเกิดจากรายได้ที่มากขึ้นในปีปัจจุบันและสินทรัพย์ถาวรที่ลดลงจากค่าเสื่อมราคา
โดยภาพรวมถือว่ากิจการยังสามารถบริหารสินทรัพย์และสินทรัพย์ถาวรได้ดี
3. วิเคราะห์สภาพคล่อง
อัตราส่วนสภาพคล่อง เป็นอัตราส่วนที่บ่งบอกว่าธุรกิจสามารถจ่ายชำระหนี้ระยะสั้นได้หรือไม่ หรือว่ามีสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดมาชำระหนี้ได้ดีขนาดไหน
เราจะเปรียบเทียบสินทรัพย์ระยะสั้นกับหนี้สินระยะสั้น โดยเพิ่มระดับความเข้มข้นไปเรื่อยๆ จากอัตราส่วนทุนหมุนเวียน เป็นทุนหมุนเวียนเร็ว (ใช้แค่เงินสดและเงินลงทุนระยะสั้น) และสุดท้ายอัตราส่วนเงินสด
สำหรับคนที่อยากคำนวณอัตราส่วนนี้ด้วยตัวเองสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ สภาพคล่องทางการเงินคืออะไร วิเคราะห์แบบไหนดี?

เหลือง ชื่อรูปภาพ alt tag สภาพคล่อง
จากตัวอย่างนี้ อัตราส่วนสภาพคล่องทุกอัตราส่วนมีค่าไม่ถึง 1 เท่า หมายความว่า กิจการมีสินทรัพย์ระยะสั้นโดยรวมแล้ว ไม่เพียงพอสำหรับการจ่ายคืนหนี้สินระยะสั้น ทำให้มีความกังวลเรื่องของสภาพคล่อง ถ้าพิจารณาจากประเภทหนี้สินระยะสั้น พบว่ากิจการมีเงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นเป็นจำนวนมากซึ่งหนี้สินนี้มีภาระดอกเบี้ยค่อนข้างสูง และส่วนที่เหลือเป็นเงินกู้ยืมระยะสั้นจากกรรมการและเจ้าหนี้การค้า ซึ่งจะถึงกำหนดชำระในเวลาไม่เกิน 12 เดือนเช่นกัน
4. วิเคราะห์โครงสร้างเงินทุน
การวิเคราะห์โครงสร้างเงินทุนเป็นการประเมินความอยู่รอดของธุรกิจในระยะยาวว่ามีโครงสร้างของกิจการมาจากหนี้สินเยอะหรือไม่ โดยเทียบระหว่างหนี้สินกับส่วนของเจ้าของ หรือว่าสินทรัพย์
ยิ่งมีโครงสร้างหนี้สินเยอะกิจการต้องแบกรับภาระในการจ่ายดอกเบี้ย รวมไปถึงเงินต้นด้วย และสุดท้ายอาจไม่มีกำไรสุทธิเหลือในกิจการ ลองคำนวณโครงสร้างเงินทุนง่ายๆ ด้วยตัวเองที่นี่ : โครงสร้างเงินทุนคืออะไร วิเคราะห์อย่างไร?

สำหรับการวิเคราะห์โครงสร้างเงินทุนจากข้อมูลงบการเงินบริษัท CPD Academy จำกัด พบว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ และหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ในกรณีนี้อาจทำให้กิจการมีความมั่นคงลดลงถ้าเทียบกับปีก่อน ซึ่งสัดส่วนหนี้ที่เพิ่มขึ้นเป็นหนี้สินจากเงินกู้ยืมกรรมการ โดยภาพรวมแล้วบริษัทนี้มีโครงสร้างเงินทุนมาจากหนี้สินเป็นส่วนใหญ่ซึ่งต้องระมัดระวังในเรื่องความสามารถในการจ่ายชำระดอกเบี้ยและความเสี่ยงจากการถูกเรียกเงินคืนโดยกรรมการ
เป็นยังไงกันบ้างคะ สำหรับตัวอย่างการวิเคราะห์อัตราส่วนการเงิน อันนี้ขอย้ำว่าเป็นตัวอย่างแบบง่ายๆ ที่เราคำนวณมาให้หมดแล้ว ซึ่งหน้าที่ของนักบัญชีต้องทำความเข้าใจองค์ประกอบของงบการเงิน และวิเคราะห์อัตราส่วนนี้ แล้วนำเสนอต่อผู้บริหาร และสำหรับใครที่สนใจอยากวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินเพิ่มเติมลองเข้าไปเลือกงบบริษัทที่สนใจในนี้ได้ DBD Datawarehouse ข้อมูลงบการเงิน | DBD และลองวิเคราะห์กันนะคะ