บัญชีต้นทุนของสินค้าเป็นบัญชีที่สำคัญมาก เพราะมันสัมพันธ์กับบัญชีรายได้ ซึ่งทำให้เจ้าของธุรกิจวิเคราะห์ Gross Profit Margin หรือกำไรขั้นต้นของธุรกิจได้ และบ่อยครั้งที่นักบัญชีมักจัดประเภทต้นทุนของสินค้าผิดไป ทำให้เราเข้าใจผิดเกี่ยวกับกำไร และการคำนวณต้นทุนสินค้านั้นคลาดเคลื่อน ไม่สะท้อนค่าใช้จ่ายที่แท้จริง
ถ้าอยากจะวิเคราะห์ต้นทุนให้เป๊ะ เราลองมาทำความเข้าใจวิธีจำแนกต้นทุนของสินค้า แล้วนำไปปรับประยุกต์ใช้กันในการทำงานนะคะ
1. ต้นทุนสินค้าคืออะไร
ต้นทุนของสินค้า คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการซื้อวัตถุดิบ การผลิต เพื่อเป็นค่าสินค้าสำเร็จรูปหรือบริการ สำหรับการขายและก่อให้เกิดรายได้
ตามหลักการบัญชีต้นทุน วิธีการแบ่งประเภทต้นทุนนั้นมีหลายประเภท ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเรามีวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์สินค้าและค่าใช้จ่ายอย่างไรค่ะ
2. ต้นทุนสินค้ามีกี่ประเภท จัดประเภทอย่างไร
หนึ่งในวิธียอดฮิตของการจำแนกต้นทุนของสินค้าคงเหลือนั้น ได้แก่ การจำแนกต้นทุนตามความสัมพันธ์ต่องวดบัญชี ซึ่งจะแบ่งต้นทุนสินค้าออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ตามภาพดังนี้ คือ ต้นทุนผลิตภัณฑ์ และต้นทุนตามช่วงเวลา
2.1 ต้นทุนผลิตภัณฑ์ (Product Cost)
ซึ่งเป็นต้นทุนที่เกิดจากการผลิตสินค้าโดยตรง ประกอบด้วยสามส่วนหลักๆ ได้แก่
- วัตถุดิบทางตรง (Direct Material) คือ วัสดุที่ใช้เริ่มต้นผลิตสินค้าซึ่งเป็นส่วนประกอบหลัก และวัดจำนวนส่วนประกอบในสินค้าสำเร็จรูปได้
- ค่าแรงงานทางตรง (Direct Labor) คือ แรงงานที่ทำการผลิตสินค้านั้น โดยตรงกับกระบวนการผลิตสินค้า สำเร็จรูปและสามารถวัดปริมาณชั่วโมงในการผลิตได้
- ค่าใช้จ่ายการผลิต (Overhead) คือ ต้นทุนอื่นที่ไม่ใช่ DM และ DL เป็นค่าใช้จ่ายในโรงงานทั้งหมด เช่น ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเสื่อมราคา ค่าบำรุงรักษาเครื่องจักร เป็นต้น
2.2 ต้นทุนตามช่วงเวลา (Period Cost)
ซึ่งจะเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นโดยไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าเลย เป็นค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในระหว่างงวด อาจจะเกิดเป็นประจำเพื่อการขายสินค้า หรือเพื่อการบริหารสำนักงาน ซึ่งประกอบด้วยค่าใช้จ่าย 2 ประเภทนี้
- ค่าใช้จ่ายในการขาย (Selling Expenses) คือ ค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้การสั่งซื้อของลูกค้าจนถึงการนำสินค้าสำเร็จรูปหรือบริการไปถึงมือลูกค้า เช่น ค่าโฆษณา ค่าใช้จ่ายการตลาด เป็นต้น
- ค่าใช้จ่ายในการบริหาร (Administrative Expenses) จัดเป็นค่าใช้จ่ายทั่วไปที่เกิดขึ้นในสำนักงานแยกต่างหากจากโรงงาน เช่น ค่าเช่าออฟฟิศสำนักงาน ค่าน้ำค่าไฟสำนักงาน เงินเดือนผู้บริหาร เป็นต้น
เพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น เราลองมาดูเคสตัวอย่างกัน ว่าต้นทุนเหล่านี้ ควรแยกประเภทเป็นอะไรดีนะ
3. ยกตัวอย่างต้นทุนแต่ละประเภท
ตัวอย่าง
สมมติเรากำลังทำบัญชีให้บริษัท CPD Academy จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพื่อขาย
ทุกท่านคิดว่าต้นทุนเหล่านี้จำแนกเป็นต้นทุนผลิตภัณฑ์ (Product Cost) หรือ ต้นทุนตามช่วงเวลา (Period Cost) และหากเป็นต้นทุนผลิตภัณฑ์อย่าลืมแยกประเภทย่อยๆ 3 ประเภท คือ วัตถุดิบทางตรง (Direct Material) ค่าแรงงานทางตรง (Direct Labor) หรือค่าใช้จ่ายการผลิต (Overhead)
- ต้นทุนค่าผ้าสำหรับผลิตเสื้อ
- ค่าแรงงานคนเย็บผ้า
- เงินเดือนพนักงานขายหน้าร้าน
- ค่าเสื่อมราคา – อาคารโรงงาน
- ผลประโยชน์พนักงาน เช่น เงินสมทบประกันสังคม สวัสดิการต่างๆ
เฉลยคำตอบ
ใครมีคำตอบแล้ว ลองมาเช็คกับเฉลยไปทีละข้อนะคะว่าตรงกับที่ท่านเข้าใจไหม
3.1 ต้นทุนค่าผ้าสำหรับผลิตเสื้อ
คือ ต้นทุนผลิตภัณฑ์ ( Product Cost ) ประเภทวัตถุดิบทางตรง (Direct Material) เนื่องจากหากไม่มีผ้าซึ่งเป็นวัตถุดิบ ก็ไม่สามารถผลิตเสื้อได้อย่างแน่นอน

3.2 ค่าแรงคนเย็บผ้า
คือ ต้นทุนผลิตภัณฑ์ ( Product Cost ) ประเภทค่าแรงงานทางตรง (Direct Labor) กรณีที่เราจ่ายเงินค่าแรงคนงาน ซึ่งเป็นคนงานในสายการผลิตเสื้อโดยตรง ดังนั้นจึงสามารถจำแนกประเภทได้เป็นต้นทุนผลิตภัณฑ์ ( Product Cost ) และถ้าลองแบ่งให้ละเอียด Product Cost ตรงนี้ต้องเป็น ค่าแรงงานทางตรง แน่นอน

3.3 เงินเดือนพนักงานขายหน้าร้าน
เงินเดือนพนักงานขายหน้าร้าน คือ ต้นทุนตามงวดเวลา (Period Cost )
ถ้าต้นทุนอะไรก็ตามที่ได้เกิดขึ้นหรือได้จ่ายไป เมื่อกระบวนการสินค้าถูกผลิตเสร็จแล้ว ต้นทุนเหล่านี้เราต้องรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในงวดทันที่ ต้นทุนประเภทนี้จัดเป็นต้นทุนตามงวดเวลา (Period Cost ) ประเภทค่าใช้จ่ายในการขาย ดังนั้น เงินเดือนพนักงานขายจะสังเกตว่ากระบวนการผลิตสินค้าเรียบร้อยแล้ว เอาของไปวางที่ร้านหน้าต้องรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายทันที สังเกตจากรูปด้านล่างจะพบว่าค่าใช้จ่ายนี้อยู่ด้านขวาสุดของแผนภูมิเลย ไม่เกี่ยวกับกับกระบวนการผลิตใด ๆ

3.4 ค่าเสื่อมราคา – อาคารโรงงาน
จำแนกประเภทเป็น ต้นทุนผลิตภัณฑ์ ( Product Cost ) แบบค่าใช้จ่ายในการผลิต หรือ Overhead
ตัวนี้ต้องพิจารณาดี ๆ เพราะหลายท่านสับสน และนำต้นทุนนี้ไปรวมกับค่าใช้จ่ายในการบริหาร (Administrative Expenses) หากท่านลองสังเกตุดี ๆ จะพบว่า หากไม่มีอาคารโรงงาน การผลิตเสื้อก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้น การใช้งานอาคารโรงงานจึงอยู่ในกระบวนการผลิตเสื้ออย่างแน่นอน และค่าเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นจะจัดเป็นต้นทุนผลิตภัณฑ์จำพวกค่าใช้จ่ายการผลิตแบบ Overhead นั่นเอง

3.5 ผลประโยชน์พนักงาน
จำแนกได้ทั้ง ต้นทุนผลิตภัณฑ์ (Product Cost) และต้นทุนตามงวดเวลา (Period Cost)
ผลประโยชน์พนักงาน เช่น เงินสมทบประกันสังคม สวัสดิการต่าง ๆ ในความจริงแล้ว เราต้องดูตัวตั้งต้นว่าผลประโยชน์พนักงานนี้จ่ายให้ใคร หากว่าเราจ่ายให้คนงานในโรงงาน ก็แสดงว่าค่าใช่จ่ายที่เราสมทบเข้าไป จะรับรู้ตามตัวตั้งต้นนั่นก็คือ ต้นทุนผลิตภัณฑ์ (Product Cost) เพราะว่าค่าแรงงานคนงานถือเป็นต้นทุนผลิตภัณฑ์ (Product Cost) ดังนั้นตัวผลประโยชน์ที่เราสมทบเข้าไปก็ต้องจัดเป็นประเภทเดียวกัน
แต่ถ้าค่าใช้จ่ายนี้สมทบให้กับพนักงานขายหน้าร้านหรือพนักกงานบัญชี ผู้บริหาร ต้นทุนตัวตั้งเรารับรู้เป็นต้นทุนตามงวดเวลา (Period Cost) ดังนั้นแสดงรายจ่ายนี้ที่เราเพิ่มเข้าไปก็ต้องรับรู้เป็นต้นทุนตามงวดเวลา (Period Cost) เช่นเดียวกับตัวตั้ง
ลองดูแผนภาพด้านล่างจะชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่า เรามีตัวเลือกในการจัดประเภทสองแบบตามที่วงกลมไว้

พอจะมองเห็นภาพกันมากขึ้นไหมคะ สำหรับจำแนกต้นทุนตามผลิตภัณฑ์ ( Product Cost ) และตามช่วงเวลา ( Period Cost ) อาจจะมีความยากเล็กน้อย แต่หากเรามองไปกระบวนการผลิต และรายการที่เป็นตัวตั้งต้น ก็จะช่วยให้เราเข้าใจได้มากขึ้นค่ะ ดังนั้นอย่าลืมนำไปใช้กันให้ถูกวิธีนะคะ
สินค้าคงเหลือเป็นบัญชีที่สำคัญมากๆ สำหรับธุรกิจ ซึ่งการคำนวณต้นทุนสินค้าคงเหลือก็เป็นงานส่วนหนึ่งที่นักบัญชีต้องเข้าใจอย่างลึกซึ่ง และถ้าใครอ่านบทความนี้แล้วยังสงสัยว่ามีอะไรที่ต้องรู้เพิ่มเกี่ยวกับสินค้าคงเหลือบ้าง ลองไปศึกษาเพิ่มเติมกันได้ที่ คอร์ส สินค้าคงเหลือกับประเด็นทางบัญชีที่น่าสนใจ
อบรมบัญชีเก็บชั่วโมง CPD ออนไลน์ง่ายๆ ได้ที่บ้าน
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line: @cpdacademy หรือ https://lin.ee/36U1ks0Y