เมื่อถึงคราวต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ใครหนอจะออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย 50 ทวิ ให้บริษัทคู่ค้าได้บ้าง
ถ้าเจ้าของธุรกิจทำไม่เป็น งานนี้ก็คงหนีไม่พ้นนักบัญชีไงล่ะ (จะใครซะอีก ฮ่าๆ) สาเหตุเพราะว่าการออกหนัชสือรับรองนั้น ข้อมูลต้องสอดคล้องกับการนำส่งกรมสรรพากรด้วยนะ (แค่คิดก็เครียดแล้ว)
สำหรับนักบัญชีมือใหม่ วันนี้เรามาดู 5 เทคนิค การกรอกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย 50 ทวิ อย่างถูกต้อง จะเป็นยังไง ไปดูกัน
หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย 50 ทวิ คืออะไร
คนที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย จะรู้ได้ยังไงว่าเขาโดนหัก ณ ที่จ่าย หรือเราจ่ายเงินให้เขาไม่ครบ?
ด้วยเหตุนี้ จึงมีเอกสารที่เรียกว่า “หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย 50 ทวิ” ซึ่งหลายคนเรียกสั้นๆว่า “ใบ 50 ทวิ”
โดยการออกหนังสือรับรองฯ จะแบ่งเป็น 2 ฉบับ สำหรับผู้ถูกหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งต้องมีข้อความตรงกันดังนี้
- ฉบับที่ 1 มีข้อความว่า “สําหรับผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายใช้แนบพร้อมกับแบบแสดงรายการ”
- ฉบับที่ 2 มีข้อความว่า “สําหรับผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเก็บไว้เป็นหลักฐาน”
ส่วนผู้จ่ายเงินก็ต้องเก็บเอกสารของตัวเองไว้ด้วยเช่นกันนะคะ

1. เลือกแบบภาษีให้ถูกต้อง
เรามาเริ่มกันที่ส่วนแรก คนที่หักภาษี และคนที่ถูกหักภาษี
คนที่หักภาษีก็ไม่ต้องสงสัย ก็บริษัทเราเองนี่แหละ ที่เป็นคนหักภาษีเขาใช่ไหมล่ะ ฮ่าๆ หากใครที่อยากศึกษาเพิ่มเติม เรื่องการหักภาษี ณ ที่จ่าย สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ สรุปภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ฉบับ 101
สำหรับคนที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย หลักๆ แล้วมีอยู่ 2 ประเภท 1)นิติบุคคล 2)บุคคลธรรมดา แต่!! ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เราต้องเลือกแบบฟอร์มภาษี ที่เรายื่นข้อมูลภาษีหัก ณ ที่จ่าย ต่อกรมสรรพากรให้ถูกต้องด้วยนะ
ซึ่งการเลือกแบบฟอร์ม มีวิธีการพิจารณาดังนี้
แบบฟอร์ม | ประเภทเงินได้ | ผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย | ประเภทแบบแสดงรายการ | หมายเหตุ |
ภ.ง.ด.1ก | 40(1)(2) | บุคคลธรรมดา | ยอดรายปี | |
ภ.ง.ด.1ก พิเศษ | 40(1)(2) | บุคคลธรรมดา | ยอดรายปี | ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบเป็นส่วนราชการ |
ภ.ง.ด.2 | 40(3)(4) | บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล | ยอดรายเดือน* | |
ภ.ง.ด.2ก | 40(3)(4) | บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล | ยอดรายปี | ยื่นสรุปยอดรายปีจาก ภ.ง.ด.2 ที่เคยยื่นรายเดือน |
ภ.ง.ด.3 | 40(5)-(8) | บุคคลธรรมดา | ยอดรายเดือน* | |
ภ.ง.ด.3ก | 40(5)-(8) | บุคคลธรรมดา | ยอดรายปี | ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบเป็นส่วนราชการ |
ภ.ง.ด.53 | 40(5)-(8) | นิติบุคคล | ยอดรายเดือน* |
* การเลือกแบบฟอร์ม ในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย เราต้องรู้ตั้งแต่วันที่หักเงินคู่ค้าแล้วว่า เป็นเงินได้ประเภทไหน ยื่นแบบฟอร์มอะไร
อย่าลืมนะว่า คนจ่ายเงินต้องออกหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่ายให้คู่ค้า ตั้งแต่วันที่เขาถูกหักเงิน หรือวันที่เราจ่ายเงินนั่นเอง

2. เลือกประเภทเงินได้ แบบไหน
สำหรับใครที่ผ่านข้อ 1 มาได้ ข้อ 2 ก็คงง่ายแล้วล่ะ เพราะข้อ 1 เป็นการเลือกแบบที่ใช้ยื่นภาษี ซึ่งเราต้องรู้ก่อนแล้วว่าเป็นเงินได้ประเภทไหน ดังนั้นเมื่อเรารู้แล้วว่าเป็นเงินได้ประเภทไหน เราก็จะใส่ประเภทเงินได้อย่างถูกต้อง
การกรอกประเภทเงินได้ในแบบ 50 ทวิ จะแบ่งออกเป็น 6 ข้อ ดังนี้
- 40(1) เงินเดือนและโบนัส และสวัสดิการพนักงานต่างๆ
- 40(2) ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า
- 40(3) ลิขสิทธิ์ และสิทธิบัตรต่างๆ
- 40(4) แบ่งเป็น 2 ประเภท (ก)ดอกเบี้ย (ข)เงินปันผล และส่วนแบ่งกำไร
- 40(5)-(8) เงินได้ตาม 3 เตรส เช่น ค่าจ้างทำของ ค่าโฆษณา ค่าเช่า ค่าขนส่ง ค่าบริการ ฯลฯ (หัก ณ ที่จ่ายส่วนใหญ่จะเลือกข้อนี้)
- อื่นๆ นอกจากข้อ 1 – 5 สามารถระบุเพิ่มเติมได้
ดังนั้นสิ่งที่เราต้องเข้าใจก่อนกรอกข้อมูลก็คือ เราจ่ายเงินได้ประเภทอะไร ต้องเลือกกรอกในช่องเหล่านี้ให้ถูกจ้า
3. ใส่วันที่ยังไง
จากที่เกริ่นไปแล้วตอนข้อ 1 ว่า เราควรออกหนังสือรับรองการหัก ณ ที่จ่ายตอนไหน
คำตอบนี้ต้องแบ่งเป็น 2 แบบ
- การยื่นภาษีแบบรายปี จะแยกออกเป็น 2 อย่าง ดังนี้ 1)การยื่นแบบสรุปข้อมูล ที่เคยออกหนังสือรับรองไปแล้ว จะไม่ออกซ้ำ แต่หากเป็น 2)การยื่น ภงด.1ก จะใส่วันที่เป็นสรุปช่วงเวลาที่จ่ายเงิน และออกหนังสือรับรองภายใน 15 กุมภาพันธ์ ของปีภาษีถัดไป หรือ 1 เดือน นับจากวันลาออก
- การยื่นภาษีแบบรายเดือน อันนี้จะเจอบ่อยกว่ามากๆ โดยเราต้องออกหนังสือรับรอง ทันทีที่มีการจ่ายเงิน และหักภาษี ณ ที่จ่ายของผู้ถูกหัก ดังนั้น เราต้องใส่วันที่จ่ายเงิน วันที่ออกหนังสือรับรอง เป็นวันเดียวกับวันที่จ่ายเงินจริง
4. จำนวนเงินเท่าไหร่ดี (วิธีคำนวณ)
สำหรับช่องจำนวนเงินที่จ่าย และภาษีที่นำส่ง เป็นช่องที่หลายคนสับสนว่า ควรเอาตัวเลขไหนมาใส่ดีนะ เราลองมาดูตัวอย่างง่ายๆ ตามนี้กันค่ะ
สมมติ ค่าเช่ากล้องถ่ายภาพ 1,000 บาท Vat 7% รวมเป็น 1,070 บาท
หัก ณ ที่จ่าย 5% (50 บาท) จ่ายจริง 1,020 บาท
การใส่ยอดจำนวนเงินที่จ่าย ในหนังสือรับรองฯ ต้องใช้ยอด 1,000 บาท (ยอดค่าใช้จ่ายไม่รวม Vat)
และต้องใส่ยอด ภาษีที่หัก และนำส่งไว้ เท่ากับ 50 บาท (คำนวณจาก 5% ของ 1,000 บาท)

5. หัก ณ ที่จ่าย/ออกให้ตลอดไป/ออกให้ครั้งเดียว
มาถึงเรื่องที่หลายคนสงสัย การออกหัก ณ ที่จ่ายแทน เอ๊ะ! หัก ณ ที่จ่ายนี้ออกแทนกันได้ด้วยหรือ? การออกภาษีหัก ณ ที่จ่ายแทนคืออะไรกันนะ?
การออกหัก ณ ที่จ่ายแทน คือ เราต้องการจ่ายเงินออก 1,000 บาท แต่กฎหมายกำหนดให้เราหักเงิน ณ ที่จ่าย เราจึงต้องเพิ่มจำนวนค่าใช้จ่ายตามสัญญาที่ตกลงกัน ให้เกินกว่า 1,000 บาท เพื่อรับเงิน จะได้รับเงิน 1,000 บาท ตามที่ตกลงกันไว้
ซึ่งจะมี 3 ช่องให้เราติ๊ก ดังนี้
- ช่องหัก ณ ที่จ่าย คือ ไม่มีการออกทางหน้าที่จ่ายแทน (ส่วนใหญ่จะติ๊กช่องนี้)
- ช่องออกให้ตลอดไป คือ คำนวณหัก ณ ที่จ่ายส่วนต่างให้ทั้งหมด
- ช่องออกให้ครั้งเดียว คือ คำนวณหัก ณ ที่จ่ายส่วนต่างให้แค่ 1 ครั้ง
โดยส่วนใหญ่แล้ว จะเลือกออกแทนให้ทั้งหมดเลย(ออกให้ตลอดไป) หรือไม่อย่างนั้น ก็จะไม่ออกให้เลย(ช่องหัก ณ ที่จ่าย)
ตามตัวอย่างข้อที่ 4 จะคิดสูตรการคำนวณหัก ณ ที่จ่ายออกตลอดไป ดังนี้
= จำนวนเงินได้ที่จ่าย x อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย / (100 – อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย)
= 1,000*5/95
= 52.63 (ใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น/ค่าภาษีที่ออกแทน)
ดังนั้น ค่าใช้จ่ายทั้งหมดตามสัญญาหากมีการออกแทนจะเท่ากับ 1,000+52.63 = 1,052.63 บาท
เมื่อนำไปคำนวณหัก ณ ที่จ่าย เท่ากับ 1,052.63*5% = 52.63 บาท
และเงินที่จ่ายจริงให้กับคู่ค้าจะเท่ากับ 1,052.63-52.63 = 1,000 บาท (ยอดที่ต้องการจ่าย)

สรุป
การออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย 50 ทวิ เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผู้หัก ณ ที่จ่าย เพราะกฎหมายกำหนดว่าต้องออกหนังสือรับรองฯ เมื่อมีการจ่ายเงิน ไม่งั้นก็จะมีความผิดตามกฎหมาย และสำคัญมากสำหรับผู้ถูกหัก ณ ที่จ่าย เพราะต้องใช้เป็นหลักฐาน ในการยื่นเครดิตภาษีประจำปี ดังนั้น นักบัญชีรุ่นใหม่ อย่าลืมใส่ใจเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่ายกันด้วยนะคะ
และสำหรับใครที่อยากเข้าใจเกี่ยวกับภาษีหัก ณ ที่จ่ายมากขึ้นกว่าเดิม เพิ่มเติมเก็บ CPD ได้ด้วย แนะนำลงเรียนคอร์สนี้ได้เลยค่า: ภาษีหัก ณ ที่จ่ายคำนวณและบันทึกบัญชีอย่างไร ?
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line: @cpdacademy
อ้างอิง