ภาษีตัวหนึ่งที่นักบัญชีเกลียดมาก (และผู้ประกอบการก็เช่นกัน ฮ่าๆ) ก็คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มค่ะ เพราะภาษีตัวนี้มีความเข้มงวด และรายละเอียดปลีกย่อยค่อนข้างเยอะ แล้วถ้าทำผิด โทษปรับนักสุดๆ แบบต้องร้องขอชีวิต
และช่วงนี้ก็ใกล้จะปิดบัญชีเสียด้วย ก่อนจะปิดบัญชีมีเรื่องอะไรบ้างที่เราควรระมัดระวัง CPD Academy สรุปประเด็นยอดฮิตภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT มาให้ทุกคนในบทความนี้ค่ะ
ทบทวนย่อๆ ภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT คืออะไร
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax: VAT) คือ การเก็บภาษีจากการขายสินค้าหรือการให้บริการในแต่ละขั้นตอนการผลิต และจำหน่ายสินค้าหรือบริการ
เพื่อให้เห็นภาพง่ายๆ ทุกคนน่าจะเคยซื้อของตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อ และจะพบว่าตอนท้ายของบิลมักจะมีรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% พวกเข้ามา

จริงๆ แล้วมูลค่าสินค้าที่เราซื้อมีแค่เพียง 1100.28 บาท
โดนร้านค้าบวกภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% = 1100.28 x 7% = 77.02 บาท
ทำให้เราต้องจ่ายเงินทั้งสิ้นจำนวน = 1100.28 + 77.02 = 1188 บาท
นี่ละค่ะ คือ หลักการของภาษีมูลค่าเพิ่ม และถ้าเกิดว่าเราไม่ใช่ผู้บริโภคคนสุดท้าย เช่นว่า เป็นบริษัทที่จด VAT มาซื้อของเพื่อนำไปขายต่อ เจ้าภาษีตัวนี้ก็จะสามารถเคลมเป็นภาษีซื้อจากสรรพากร เพื่อหักกลบกับภาษีขายที่เราจะเรียกเก็บต่อจากลูกค้าได้ ตามสูตรนี้เลย
ภาษีมูลค่าเพิ่มนำส่งสรรพากร = ภาษีขาย – ภาษีซื้อ
พอจะเข้าใจหลักการของภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ทีนี้มาดูกันต่อว่า กรณีที่เราเป็นนักบัญชี สิ้นปีต้องปิดบัญชีให้เรียบร้อยครบถ้วน มีอะไรที่เราต้องระมัดระวังบ้างเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม
1. รายได้ยกเว้น VAT ห้ามนำมาเคลมภาษีซื้อ
ก่อนจด VAT เราก็น่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีรายได้ประเภทใดที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มบ้าง เช่น ขายพืชผลการเกษตร ขายอาหารสัตว์ ขายหนังสือพิมพ์ ให้บริการสอบบัญชี ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
แต่สิ่งที่เรามักทำผิดกันบ่อยๆ ก็คือ ถ้าบริษัทเริ่มต้นประกอบธุรกิจที่มี VAT และได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ถัดมาได้มีรายได้ประเภทใหม่เกิดขึ้นและเป็นรายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT
และถ้านักบัญชีลืมคิดไปว่ารายได้นี้ได้รับยกเว้น VAT นี่น่า แล้วไปเอาบิลใบกำกับภาษีซื้อมาเคลมกับสรรพากร แบบนี้งานเข้ากันยาวๆ เลยค่ะ

ยกตัวอย่างเช่น
ธุรกิจซื้อมาขายไปจด VAT ตามปกติ แต่ปีนี้ดันมีเงินเหลือเยอะ เลยสร้างโรงงานเพื่อให้เช่า มูลค่า 10 ล้านบาท
ตอนนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม นำภาษีซื้อจากการสร้างโรงงานมาเคลม 10 ล้าน x 7% = 700,000 บาท
และในขณะเดียวกันบริษัทก็มีรายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ (ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม)
แบบนี้เท่ากับว่า บริษัทเคลมภาษีซื้อทั้งๆ ที่ไม่ควรเคลม เพราะรายได้ประเภทนี้เป็นรายได้ที่ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตาม มาตรา 81(1)(ต) นั่นไงล่า
นั่นแปลว่า บริษัทยื่นภาษีผิดมาตลอด แถมยังขอคืนภาษีทั้งที่ไม่ควรขอคืนด้วย
ดังนั้น ถ้าใครทำบัญชียื่นภาษีมาทั้งปีแล้วไม่เคยเช็กเลยว่ารายได้ทั้ง 100% เข้าเงื่อนไขยกเว้นบ้างไหม ลองทบทวนดูสักนิดก่อนที่พี่สรรพากรจะมาสะกิดถามนะคะ
อ่านข้อหารือเพิ่มเติมได้ที่นี่: กค. 0706/พ./7189
2. ทำความเข้าใจภาษีซื้อต้องห้ามไว้ให้ดี
ถัดมาเป็นอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันเลย ก็คือ ภาษีซื้อต้องห้าม ซึ่งหมายถึง ภาษีซื้อที่ไม่สามารถเคลม VAT ได้ หรือเอามาหักกลบกับภาษีขาย ตอนที่ยื่นแบบให้กับสรรพากรค่ะ
แล้วภาษีซื้อต้องห้ามที่เรามักเจอกันบ่อยๆ มีอะไรบ้าง ลองมาดูกันนะคะ

เริ่มต้นจากเรื่องใบกำกับภาษีกันเสียก่อน เจ้าใบกำกับภาษีซื้อที่เข้าข่าย 6 ข้อนี้จะถือเป็นภาษีซื้อต้องห้าม
1. ภาษีซื้อที่ไม่มีใบกำกับภาษี
2. ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบแต่ข้อความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ตามมาตรา 86/4
3. ใบกำกับภาษีอย่างย่อ
4. ใบกำกับภาษีปลอม คือ ใบกำกับภาษีที่ออกโดยผู้ไม่มีสิทธิที่จะออกตามกฏหมาย
5. ภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการ คือ ภาษีซื้อของรายจ่ายต้องห้าม
6. ใบกำกับภาษีที่เป็นสำเนา (ไม่ใช่ตัวจริง) แบบนี้สรรพากรบ่ยอมโดยเด็ดขาด
และนอกจากนี้มียังมีภาษีซื้อต้องห้ามที่เราเจอบ่อยๆ เช่น
1. ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อ เช่าซื้อ เช่า หรือรับโอนรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน
2. ภาษีซื้อสำหรับค่ารับรอง
3. ภาษีซื้อที่เกิดจากการก่อสร้างอาคารหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นเพื่อใช้หรือจะใช้ในกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และต่อมาได้ขาย หรือให้เช่าหรือนำไปใช้ในกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (ข้อนี้คุ้นๆ ไหม เราอธิบายโดยละเอียดไว้ในหัวข้อก่อนหน้าแล้ว)
ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างภาษีซื้อต้องห้ามที่พบบ่อย ก่อนปิดบัญชีปีนี้ ท่องจำให้ดี แล้วอย่าลืมเช็กรายการเหล่านี้ว่าเราได้เผลอเรอยื่นเคลมภาษีซื้อไปบ้างแบบไม่ได้ตั้งใจรึป่าวนะ
3. ภาษีซื้อต้องห้าม แต่เป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีนิติบุคคลได้ ห้ามสับสน
ภาษีซื้อต้องห้าม กฎหมายห้ามไม่ให้นำมาหักออกจากภาษีขายหรือขอคืนภาษีซื้อสำหรับการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่บางประเภทนั้น สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิทางภาษีของภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ จึงเรียกกันว่า “ภาษีซื้อต้องห้ามที่ถือเป็นรายจ่ายได้”
ก่อนอื่นต้องบอกทุกคนก่อนว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม กับภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นคนละตัวกันนะ เวลายื่นแบบจึงใช้หลักเกณฑ์ที่ต่างกัน
ภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ ภาษีที่นิติบุคคลเสียจากกำไรสุทธิ คูณด้วย อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล สูงสุดอยู่ที่ 20%

ตัวอย่างภาษีซื้อต้องห้าม ที่เป็นรายจ่ายได้มีดังนี้
1. ภาษีซื้อตามใบกํากับภาษีอย่างย่อ เช่น ซื้ออาหารสำหรับพนักงานจาก 7-11 และได้ใบกำกับภาษีอย่างย่อมา
2. ใบกำกับภาษีที่เป็นสำเนา (ไม่ใช่ตัวจริง) แบบนี้สรรพากรไม่ยอมให้เคลมภาษีซื้อ แต่เป็นรายจ่ายทางภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ค่ะ
3. ภาษีซื้อที่เกี่ยวกับรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน เช่น ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อ เช่าซื้อ เช่า รถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตร – บังคับเฉพาะรถยนต์นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง เคลม VAT ไม่ได้ แต่เป็นรายจ่ายภาษีเงินได้บริษัทได้นะ
4. ภาษีซื้อสำหรับค่ารับรอง เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหารค่าเครื่องดื่ม ค่ามหรสพ ค่าใช้จ่ายเพื่อการกีฬา และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทํานองเดียวกัน รวมทั้งค่าสิ่งของ หรือประโยชน์อื่นใดที่ให้แก่บุคคลซึ่งได้รับการรับรองหรือรับบริการหรือที่ให้บุคคลอื่น
5. ภาษีซื้อที่เกิดจากการก่อสร้างอาคาร หรืออสังหาริมทรัพย์อื่นเพื่อนํามาใช้ในกิจการของตนเอง ซึ่งเป็นกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มต่อมาผู้ประกอบการได้ขายหรือให้เช่าอาคาร หรืออสังหาริมทรัพย์นั้น เอาค่าภาษีซื้อมาเป็นต้นทุนอาคารคำนวณค่าเสื่อมราคาได้
ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ ตอนปิดบัญชีอย่าลืมแยกรายการเหล่านี้ไว้ ไม่เคลม VAT แต่เอาไปใช้สิทธิ์ค่าใช้จ่ายทางภาษีนิติบุคคลได้ค่ะ
4. รายงานสินค้า ข้อควรระวังของทุกธรกิจ
อย่างที่รู้กันดีว่าคนที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะต้องจัดทำรายงานภาษี 3 รายงาน ได้แก่
- รายงานภาษีขาย
- รายงานภาษีซื้อ
- รายงานสินค้าและวัตถุดิบ
รายงาน 2 ตัวแรก ไม่น่าห่วงเพราะว่าเราทำนำส่งเป็นประจำทุกเดือนอยู่แล้ว แต่ตัวที่น่าห่วงก็คือ รายงานสินค้าและวัตถุดิบ
เพราะนักบัญชี รวมทั้งผู้ประกอบการเองมักเข้าใจผิดว่ารายงานสินค้านี้ มีแค่ยอดคงเหลือก็เพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริงรายงานสินค้าจะต้องมียอดรับเข้า – จ่ายออกด้วยค่ะ
ลองดูตัวอย่างหน้าตารายงานนี้ ในแบบที่สรรพากรกำหนดไว้ ดูทีไร เหนื่อยใจทุกทีเลย (จริงไหมคะ ฮ่าๆ)

ถ้ารู้แบบนี้แล้วว่ารายงานต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง อย่าลืมกำชับผู้ประกอบการ หรือฝ่ายคลังสินค้า ให้คอยเก็บข้อมูลมาให้เราด้วยนะ
5. อย่าลืมกระทบยอด ภ.พ.30 กับ ภ.ง.ด.50
ข้อสุดท้ายที่เชื่อว่านักบัญชีหลายคนไม่เคยทำสิ่งนี้มาก่อน เพราะไม่รู้ว่าสรรพากรเค้าตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ด้วย ก็คือ การทำกระทบยอดภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT จาก ภ.พ. 30 กับภาษีเงินได้นิติบุคคล ภ.ง.ด.50
สิ่งที่เราต้องกระทบยอด ก็คือ รายได้ จากทั้ง 2 แบบภาษีว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่

ในความเป็นจริงแล้ว อาจมีความแตกต่างกันได้ เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่ม มีการรับรู้รายได้ตามความรับผิดทางภาษี Tax Point แต่ภาษีเงินได้นิติบุคคลรับรู้รายได้ตามเกณฑ์สิทธิ์
ดังนั้น เมื่อมีความแตกต่าง เราต้องอธิบายให้ได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด เช่น
- ประเภทรายได้ บางพวกยกเว้น VAT แต่ไม่ได้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
- ระยะเวลา บางรายการรับรู้รายได้ VAT ช้าตาม Tax Point (ค่าบริการรับรู้เมื่อรับเงิน) แต่ในทางภาษีเงินได้นิติบุคคลต้องรับรู้เมื่อออกใบแจ้งหนี้
ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องที่นักบัญชีต้องทำ worksheet กระทบยอด และอธิบายความแตกต่างค่ะ เพราะบางทีเราอาจพบว่าเราลืมยื่นภาษีบางตัวในรอบปี ถ้าเป็นเช่นนี้ต้องย้อนกลับไปยื่นภาษีเพิ่มเติมให้เรียบร้อยนะคะ
สรุป
และทั้งหมดนี้ก็คือ 5 ประเด็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่เรานำมาฝาก สำหรับนักบัญชีที่กำลังเตรียมตัวปิดบัญชีภาษีประจำปีนี้ค่ะ สำหรับใครที่กลัวพลาดแบบสุดๆ แนะนำลองศึกษาเพิ่มเติมในคอร์สนี้กับ CPD Academy ได้เลยนะคะ
รู้จักภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งระบบ เก็บชั่วโมง CPD ได้ 7 ชั่วโมง