เมื่อจดทะเบียนเป็นบริษัทนิติบุคคลไปแล้ว สิ่งที่ต้องคิดต่อก็คือว่า กิจการจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือไม่ เพราะอีกไม่นานรายได้อาจจะเติบโตเกิน 1.8 ล้านบาท ดังนั้น คำถามที่นักบัญชีน่าจะต้องถูกถามอยู่เรื่อยๆ จากผู้ประกอบการว่า “จด VAT ดีไหม จด VAT แล้วจะขาดทุนหรือเปล่า?”
เอาล่ะ ถ้าวันนี้นักบัญชีคนไหนยังไม่มั่นใจว่าจะตอบคำถามผู้ประกอบการอย่างไรบ้าง เรามีเคสตัวอย่างมาให้เพื่อนๆ ศึกษากัน เพื่อเตรียมตัวไปอธิบายลูกค้าว่าจริงๆ จด VAT แล้วจะขาดทุนหรือไม่ ต้องคิดอย่างไรบ้างนะ ลองมาดูกันค่ะ
จด VAT แล้วจะขาดทุนหรือเปล่า คิดยังไง?
เบื้องต้นทุกคนน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่า อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มนั่นอยู่ที่ 7% แต่ว่าตอนซื้อหรือขายสินค้านั้นบางคราวก็มี VAT บางคราวไม่มี VAT ดังนั้น เราจะชวนเพื่อนๆ มาศึกษากรณีต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาว่าควรจด หรือไม่ควรจดค่ะ
เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น จะขอตั้งตุ๊กตาสมมุติให้ธุรกิจ A มีรายได้ 100 บาท และแต่ละกรณีจะเป็นอย่างไร จด VAT แล้วจะขาดทุนหรือเปล่า ตามไปดูพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
ก่อนอื่น ขออธิบายเพื่อนๆ ก่อนว่า
- สำหรับ กำไรขาดทุนทางบัญชี ให้ดูช่องสีส้ม โดยคำนวณจาก = รายได้ – ค่าใช้จ่าย = กำไร
- สำหรับ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องส่งสรรพากร ให้ดูช่องสีเทา = ภาษีขาย – ภาษีซื้อ
กรณี 1 : ไม่จด VAT และต้นทุนสินค้าไม่มี VAT
เป็นกรณีที่ตัวธุรกิจ A ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มค่ะ เพราะฉะนั้น จะไม่มีภาษีขายมาเกี่ยวข้องค่ะ ในขณะเดียวกันการซื้อสินค้ามาซัพพลายเออร์ก็ไม่ได้จด VAT เช่นเดียวกันค่ะ ลองมาดูกันว่าธุรกิจจะมีกำไรเท่าไร
โจทย์
ธุรกิจ A ยังไม่ได้จด VAT ขายสินค้าราคา 100 บาท และซื้อสินค้ามา 50 บาท โดยไม่มี VAT ซื้อ 7%
วิธีคิด
ธุรกิจจะได้กำไร = รายได้ – ค่าใช้จ่าย
= 100 – 50
= 50 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม = ไม่มี
คำตอบ คือ ธุรกิจจะได้กำไร 50 บาทไปเลยเต็ม ๆ และไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม

กรณี 2 : ไม่จด VAT และต้นทุนสินค้ามี VAT
เป็นกรณีที่ตัวธุรกิจ A ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มค่ะ แต่มีการซื้อสินค้ามาซัพพลายเออร์ที่จด VAT ลองมาดูกันว่าธุรกิจจะมีกำไรเท่าไร
โจทย์
ธุรกิจ A ซื้อสินค้ามา 50 บาท ต้องจ่าย VAT เพิ่ม 7% จากนั้นนำมาขายต่อในราคา 100 บาท โดยไม่คิดค่า VAT 7% ดังนั้น ธุรกิจ A จะได้กำไรกี่บาท
วิธีคิด
เมื่อซื้อสินค้าจากร้านค้าที่จด VAT จะต้องจ่ายเงินไปทั้งหมด = 50 + (50 x 7%) = 53.50 บาท
ธุรกิจจะได้กำไร = รายได้ – ค่าใช้จ่าย
= 100 – 53.50
= 46.50 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม = ไม่มี เพราะธุรกิจไม่มีภาษีขาย และขอคืนภาษีซื้อไม่ได้
คำตอบ คือ ธุรกิจจะได้กำไร 46.50 บาท
สังเกตุเห็นว่า ถ้าซื้อของจากซัพพลายเออร์ที่มี VAT 7% แต่เราไม่ได้จด VAT ก็ไม่สามารถผลักภาระนี้ไปให้กับลูกค้าได้ ทำให้สุดท้าย กิจการเหลือกำไรน้อยลงค่ะ

กรณี 3 : จด VAT และต้นทุนสินค้าไม่มี VAT
กรณีนี้เป็นกรณีที่ธุรกิจ A ได้จด VAT และไปซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์ที่ไม่ได้จด VAT ทำให้ธุรกิจ A จ่ายเฉพาะค่าสินค้า และกลายเป็นต้นทุนของธุรกิจไป ต่อมานำสินค้าไปขายในราคา 100 บาท และคิดค่า VAT 7% รวมกับราคาขายด้วย ลองมาดูกันค่ะ ว่าธุรกิจนี้จะมีกำไรเท่าไร

โจทย์
ธุรกิจ A ซื้อสินค้ามา 50 บาท ไม่มีค่า VAT 7% จากนั้นนำมาขายต่อในราคา 100 บาท คิดค่า VAT 7% ดังนั้น ธุรกิจ A จะได้กำไรกี่บาท
วิธีคิด
ธุรกิจจ่ายเงินไปทั้งหมด 50 บาท
ธุรกิจจะได้กำไร = รายได้ – ค่าใช้จ่าย
= 100 – 50
= 50 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม = ภาษีขาย – ภาษีซื้อ
= 7 – 0
= 7 บาท
คำตอบ คือ ธุรกิจจะได้กำไร 50 บาท และมีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องส่งให้กรมสรรพากร 7 บาท
3.1 กรณีจด VAT ต้นทุนไม่มี VAT ผลักภาระ VAT ให้ลูกค้า
สำหรับตัวอย่างการคำนวณข้างต้น ต้องเน้นย้ำนะคะ ว่า VAT ต้องเรียกเก็บเพิ่มเติมจากลูกค้าเท่านั้น หรือเราต้องสามารถผลักภาระ VAT ให้กับลูกค้าได้
3.2. กรณีจด VAT ต้นทุนไม่มี VAT ผลักภาระ VAT ให้ลูกค้าไม่ได้
แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าธุรกิจ A ไม่สามารถผลักภาระ VAT 7% ให้กับลูกค้าได้ล่ะ ทำให้ธุรกิจเองต้องยอมจ่าย VAT 7% ส่วนนี้เอง สถานการณ์ของกำไรขาดทุนจะเปลี่ยนไปแบบนี้เลยค่ะ
ธุรกิจจะได้กำไร = รายได้ – ค่าใช้จ่าย
= 100/1.07 – 50
= 93.46 – 50
= 43.46 บาท
สุดท้าย ถ้าจุดจบของการจด VAT ของเราเป็นแบบนี้ นั่นแปลว่า ธุรกิจของเราจะมีกำไรน้อยลงจาก 50 บาท เหลือ 43.46 บาทนั่นเอง (เศร้า ฮือๆ)
กรณี 4 : จด VAT และต้นทุนสินค้ามี VAT
เป็นกรณีสุดท้ายที่ธุรกิจ A และซื้อของจากซัพพลายเออร์ที่จด VAT เหมือนกัน นั่นเท่ากับว่าธุรกิจก็จะมีทั้งภาษีขาย และภาษีซื้อ ทำให้ธุรกิจสามารถนำมาหักลบได้ ก็จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มน้อยลงนั่นเองค่ะ ส่วนกำไรขาดทุนจะเป็นแบบนี้

โจทย์
ธุรกิจ A ซื้อสินค้ามา 50 บาท มีค่า VAT 7% จากนั้นนำมาขายต่อในราคา 100 บาท คิดค่า VAT 7% ดังนั้น ธุรกิจ A จะได้กำไรกี่บาท
วิธีคิด
เมื่อซื้อสินค้าจากร้านค้าที่จด VAT จะต้องจ่ายเงินไปทั้งหมด = 50 + (50 x 7%) = 53.50 บาท
ธุรกิจ A ขายสินค้าที่รวม VAT 7 จะได้รับเงินไปทั้งหมด = 100 + (100 x 7%) = 107 บาท
ธุรกิจจะได้กำไร = รายได้ – ค่าใช้จ่าย
= 100 – 50
= 50 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม = ภาษีขาย – ภาษีซื้อ
= 7 – 3.50
= 3.50 บาท
คำตอบ คือ ธุรกิจจะได้กำไร 50 บาท และมีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องส่งให้กรมสรรพากร 3.5 บาท
4.1 กรณีจด VAT ต้นทุนมี VAT ผลักภาระ VAT ให้ลูกค้าได้
สำหรับตัวอย่างการคำนวณข้างต้น เป็นกรณีที่เราสามารถผลักภาระภาษีขาย 7% ให้กับลูกค้าได้ ดังนั้น ผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้กำไรสุทธิธุรกิจยังเท่าเดิม ที่ 50 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องส่งสรรพากรเท่ากับ 3.50 บาท
4.2 กรณีจด VAT ต้นทุนมี VAT ผลักภาระ VAT ให้ลูกค้าไม่ได้
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราจด VAT แล้วรวมมูลค่า VAT ไปแล้วลูกค้าหดหาย ไม่กลับมาซื้อของอีก เลยตัดสินใจรับภาระส่วนนี้เองสิ่งที่เกิดขึ้นกับกำไรขาดทุนจะเป็นแบบนี้ค่ะ
ธุรกิจจะได้กำไร = รายได้ – ค่าใช้จ่าย
= 100/1.07 – 50
= 93.46 – 50
= 43.46 บาท
สุดท้ายได้กำไรน้อยลงไป เพราะ VAT 7% ที่เราออกให้ลูกค้า เราเองเป็นคนควักเงินส่วนตัวนำส่งสรรพากร มิหนำซ้ำยังต้องจ่าย VAT ซื้ออีก 7% เสียอีก
สรุปจด VAT แล้วจะขาดทุนหรือเปล่า?
หลายคนอ่านถึงตรงนี้แล้วมีคำถามว่า จด VAT แล้วจะขาดทุนหรือเปล่า จะเห็นได้เลยว่า ถ้าไม่นับรวมค่าภาษีมูลค่าเพิ่มเลยนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีศึกษาแบบไหน ธุรกิจก็ได้กำไรเท่าเดิม ทั้งกรณีที่ 3 และ 4 ค่ะ ดังนั้น การจด VAT ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างให้กับชีวิตเราเท่าใดนั้น
แต่เมื่อเราใช้แนวคิดที่ว่า หยวนๆ ให้ลูกค้า ไม่กล้าที่จะผลักภาระให้พวกเค้า แม้จด VAT แล้วยังขายราคาเดิม แถมยังต้องออกเงินเสียค่า VAT เอง แบบนี้จะส่งผลให้ธุรกิจกำไรลดลง (หรือบางเคสอาจกลายเป็นขาดทุน ถ้ากำไรตั้งต้นบางมากมาตั้งแต่แรก) สำหรับกรณีนี้ยิ่งทำธุรกิจไปก็ยิ่งเหนื่อยใจ เพราะแบ่งกำไรที่ควรมีกว่า 7% ไปให้สรรพากรซะงั้น
ดังนั้น ก่อนจด VAT อย่าลืมใคร่ครวญพิจารณาสถานการณ์ของธุรกิจเราให้ดี ว่าจะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง และขอให้การรับภาระภาษีขายด้วยตัวเอง เป็นทางเลือกสุดท้ายที่นักบัญชีจะแนะนำลูกค้านะคะ

สำหรับใครที่อยากเข้าใจเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม มากขึ้นกว่าเดิม เพิ่มเติมเก็บ CPD ได้ด้วย แนะนำลงเรียนคอร์สนี้ได้เลย รู้จักภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทั้งระบบ
แนะนำบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นภาษี (คลิกที่นี่)
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line: @cpdacademy