ภาษี

จด vat แล้วต้องทำอะไรบ้าง ห้ามพลาดสำหรับนักบัญชีมือใหม่

จด vat แล้วต้องทำอะไรบ้าง

การทำธุรกิจให้ราบรื่นได้ด้วยดี ไม่เพียงแต่โฟกัสที่การทำกำไรเท่านั้น การทำหน้าเป็นพลเมืองดี เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อย่างถูกต้อง ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านค้าที่ขายดีแบบปังๆ แน่นอนว่าต้องเข้าสู่ระบบ VAT ตั้งแต่รายได้ 1.8 ล้านบาทขึ้นไป

แต่ทั้งนี้ อาจมีนักบัญชีมือใหม่หลายคนยังไม่รู้ว่า มีภาระหน้าที่ที่ต้องทำเพิ่มเติมหลังจากการจดทะเบียน VAT แล้วมีอะไรบ้างวันนี้ CPD Academy จึงชวนทุกคนมาเรียนรู้ในบทความนี้ “จด vat แล้วต้องทำอะไรบ้าง ห้ามพลาดสำหรับนักบัญชีมือใหม่” ถ้าพร้อมแล้วไปอ่านกันเลยค่ะ

ภาษีมูลค่าเพิ่ม คืออะไร ?

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คือ ภาษีทางอ้อมที่ผู้ประกอบการที่จด VAT จะต้องเรียกเก็บจากผู้ที่มาซื้อสินค้า และ บริการ โดยคิดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 7% ของราคาสินค้า และบริการ พร้อมกับออกใบกำกับภาษีให้กับลูกค้าตามกฎหมาย ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บได้จะถูกนำส่งให้กับพี่กรมสรรพากรตามที่เรารู้กันค่ะ

ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม

ระบบโครงสร้างของภาษีมูลค่าเพิ่มจะประกอบด้วย 2 ส่วน นั่นคือ ภาษีซื้อ และภาษีขาย

โดยภาษีซื้อ เป็นภาษี 7% ที่เราจ่ายให้กับกิจการที่จด VAT เช่น Supplier จากการซื้อสินค้าและบริการ

ส่วนภาษีขายเป็นภาษี 7% ของยอดขายสินค้าและบริการที่เราเรียกเก็บจากลูกค้า

ธุรกิจที่มีทั้งภาษีซื้อและภาษีขาย จะต้องนำมาหักลบกัน และส่วนต่างที่ได้นั่นแหละ ก็คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะต้องนำไปยื่นกับกรมสรรพากรทุกเดือนนั่นเองค่ะ

จด VAT แล้วต้องมี ภ.พ. 20 ยืนยันไหม ?

คำตอบก็คือ “ใช่ค่ะ” เพราะหลังจากที่ธุรกิจได้ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.01) พร้อมกับเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว จะได้รับใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่หลายคนเรียกกันง่าย ๆ ว่า แบบ ภ.พ.20 ซึ่งจะเป็นเอกสารที่บ่งบอกได้ว่า ผู้ประกอบการได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ภ.พ.20 คืออะไร
ภ.พ.20 คืออะไร

เมื่อได้แบบ ภ.พ.20 มาแล้ว ผู้ประกอบการจะต้องนำไปแสดงไว้ในที่ที่มองเห็นได้ง่าย ณ ที่สำนักงาน ร้านค้า หรือบริษัทของคุณค่ะ เช่น นำไปใส่กรอบแล้วแขวนไว้ที่ผนัง หรือตั้งไว้ที่โต๊ะเคาน์เตอร์ เป็นต้น

ส่วนใครที่อ่านถึงจุดนี้ แล้วอยากรู้เกี่ยวกับ ภ.พ. 20 เพิ่มเติม ลองไปศึกษาต่อที่นี่ได้เลย
ภ.พ.20 คืออะไร ถ้าจด VAT ต้องรู้สิ่งนี้

วันที่เริ่มเข้าระบบ VAT เช็กได้จากที่ไหน ?

หลังจากที่นักบัญชีมือใหม่ได้ยื่นขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับเจ้าพนักงานกรมสรรพากรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากต้องการเช็กว่าตัวเองเข้าไปอยู่ในระบบ VAT แล้วหรือยัง สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร [คลิกที่นี่] โดยมีวิธีเข้าระบบง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ

  1. ค้นหาว่า “กรมสรรพากร” ใน Google
  2. คลิกที่ “VATINFO” ระบบจะพาเข้าไปที่ระบบค้นหาข้อมูลผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของกรมสรรพากร
  3. พิมพ์เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 13 หลักของผู้ประกอบการลงไปและกดปุ่ม “ค้นหาข้อมูล”
  4. หากค้นหาแล้วมีข้อมูลแสดงขึ้นมา แสดงว่าผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าไม่มีข้อมูลแสดงขึ้นมา นั่นหมายความว่าผู้ประกอบการยังไม่อยู่ในระบบ VAT ค่ะ

และสำคัญสุดๆ จะต้องเช็กว่าวันที่จดทะเบียนเป็นวันไหน เพราะว่ามีผลบังคับให้เจ้าของธุรกิจจะต้องเริ่มจัดทำเอกสาร รายงานต่างๆ ตั้งแต่วันนี้ค่ะ

เช็กวันที่จดทะเบียน VAT
เช็กวันที่จดทะเบียน VAT

ยกตัวอย่างเช่น วันที่จดทะเบียนเมื่อเช็กในระบบแล้ว แสดงวันที่ 14/01/2563 หน้าที่ของผู้ประกอบการจด VAT คือ
ต้องแสดงรายงานภาษีมูลค่าเพิ่ม รอบของเดือน 01/2563 เป็นเดือนแรกเลยนะ ถ้าไม่ยื่นล่ะก็ มีค่าปรับเงินเพิ่มแน่นอน

หลังจด vat แล้วต้องทำอะไรบ้าง ?

จด vat แล้วต้องทำอะไรบ้าง นักบัญชีควรแนะนำผู้ประกอบการเกี่ยวกับภาระหน้าที่ที่ต้องทำตามกฎหมายดังนี้ค่ะ

1. ขายสินค้าแล้วต้องออกใบกำกับภาษี

ขายสินค้าแล้วต้องออกใบกำกับภาษี
ขายสินค้าแล้วต้องออกใบกำกับภาษี

เมื่อผู้ประกอบการได้ขายสินค้าและให้บริการ จะต้องออกใบกำกับภาษีให้กับลูกค้า โดยที่หัวเอกสารจะต้องระบุคำว่า “ใบกำกับภาษี” อย่างชัดเจน พร้อมกับแสดงราคาสินค้าและบริการ และมูลค่าภาษีมูลค่าเพิ่มลงไปด้วย

2. ซื้อสินค้าแล้วต้องได้รับใบกำกับภาษี

ซื้อสินค้าแล้วต้องได้รับใบกำกับภาษี
ซื้อสินค้าแล้วต้องได้รับใบกำกับภาษี

เมื่อกิจการได้ไปซื้อสินค้า หรือใช้บริการมา จะต้องขอใบกำกับภาษีจากร้านค้า หรือบริษัทกลับมาด้วย เพื่อที่จะได้สามารถนำไปทำรายงานภาษีซื้อ และหักลบจากภาษีขายได้นั่นเองค่ะ 

  • หากไปซื้อสินค้า หรือใช้บริการกับบุคคล / นิติบุคคล ที่จด VAT จะได้รับใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษีกลับมา
  • แต่ถ้าไปซื้อสินค้า หรือใช้บริการกับบุคคล / นิติบุคคล ที่ไม่ได้จด VAT จะได้รับบิลรูปแบบต่าง ๆ กลับมา เช่น ใบเสร็จรับเงินกับใบรับเงิน

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจะต้องระวังในเรื่องของใบกำกับภาษีด้วยนะคะว่า เป็นใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบหรือไม่ ได้รับเอกสารเป็นต้นฉบับของจริงหรือไม่ และตัวเลขมูลค่า VAT ถูกต้องหรือเปล่า

3. ทำรายงานภาษีขาย และภาษีซื้อ

รายงานภาษีขาย และภาษีซื้อ
รายงานภาษีขาย และภาษีซื้อ

อันดับต่อไป ผู้ประกอบการจะต้องจัดทำรายงานภาษีขาย และภาษีซื้อ เพื่อนำไปยื่นภาษีประกอบกับแบบ ภ.พ. 30 โดยมีหลักการง่าย ๆ ก็คือ ทุกครั้งที่เราได้ขายสินค้า หรือให้บริการ จะต้องคิด VAT 7% จากลูกค้าเสมอ ผู้ประกอบการก็นำข้อมูลการคิด VAT จากลูกค้าทั้งหมดในเดือนนั้นมาใส่ในรายงานภาษีขาย 

ส่วนภาษีซื้อ ก็นำใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปที่ได้จากกิจการที่ไปซื้อสินค้า หรือใช้บริการมาทั้งหมดมาใส่ในรายงานภาษีซื้อค่ะ จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่งก็มาจากการนำภาษีขายมาหักลบด้วยภาษีซื้อ โดยผลลัพธ์ที่ออกมาสามารถเกิดขึ้นได้ 2 กรณีค่ะ

  • หากภาษีขาย > ภาษีซื้อ จะต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มนี้ให้กับกรมสรรพากร
  • หากภาษีซื้อ > ภาษีขาย สามารถขอคืนภาษี หรือพันยอดภาษีไปใช้ในเดือนถัดไปได้

5. จัดทำรายงานสินค้าและวัตถุดิบ

รายงานสินค้าและวัตถุดิบ
รายงานสินค้าและวัตถุดิบ

ธุรกิจที่มีสินค้าคงเหลือ จะต้องจัดทำรายงานนี้ด้วย โดยข้อมูลรายการสินค้าและวัตถุดิบจะต้องตรงกับจำนวนรายการสินค้าที่ระบุในใบกำกับภาษี ไม่อย่างนั้นอาจโดนกรมสรรพากรประเมินว่ายื่นแบบไม่ถูกต้องได้นะคะ

4. ยื่นแบบ ภ.พ. 30

ยื่นแบบ ภ.พ. 30
ยื่นแบบ ภ.พ. 30

เมื่อผู้ประกอบการได้จัดทำรายงานภาษีขาย และภาษีซื้อเรียบร้อยแล้วนั้น ให้นำข้อมูลมาเขียนสรุปในแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร หรือที่หลายคนเข้าใจกันว่า แบบ ภ.พ.30 แล้วนำไปยื่นให้กับกรมสรรพากรทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป สำหรับกรณีที่ยื่นแบบกระดาษนะคะ หรือจะยื่นแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากรภายในวันที่ 23 ของเดือนถัดไปก็ได้ค่ะ

หากผู้ประกอบการคนไหนไม่ได้ยื่นแบบ ภ.พ.30 ภายในเวลาที่กำหนด หรือกรมสรรพากรตรวจสอบแล้วพบว่าไม่ได้ยื่นแบบ ภ.พ.30 ไม่เพียงแต่จะต้องชำระเงินแล้ว ระวังจะต้องเสียเบี้ยปรับเพิ่มด้วยนะคะ

ข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อยของคนที่จด VAT

ผู้ประกอบการหลายคนที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม อาจเผลอทำผิดในบางกรณี ซึ่งอาจทำให้กรมสรรพากรตามมาตรวจสอบในภายหลังได้ ข้อผิดพลาดที่มักเจอบ่อยๆ เช่น

  • บุคคลธรรมดามีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาท เข้าใจผิดคิดว่าไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งความจริงแล้วบุคคลธรรมดาสามารถจด VAT ได้ตามกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องจดบริษัทเสมอไป
  • ผู้ประกอบการมีการขายหลายช่องทาง แต่เมื่อถึงกำหนดยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม กลับไม่ได้นับยอดรายการขายทั้งหมดรวมกัน ความจริงแล้วควรจะนับยอดรวม และจัดทำรายงานให้ครบถ้วนจากการขายทุกช่องทางนะคะ
    เช่น บริษัทมีสำนักงานใหญ่ 1 แห่ง และสาขา 3 สาขา แต่ลักไก่ เอายอดขาย สำนักงานใหญ่ 1 แห่ง และสาขาที่ 1 เท่านั้น ที่นำมายื่น VAT แบบนี้มีความผิดและโดนปรับแน่นอน ถ้าพี่สรรพากรมาตรวจเจอ
  • กิจการจดทะเบียน VAT แล้วเข้าใจผิดคิดว่าจดแล้วจบเลย แต่แท้จริงแล้วจะมีภาระหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องดำเนินการเพิ่มเติมด้วย นั่นคือจะต้องยื่นภาษี VAT ทุกเดือนค่ะ

สรุป

ข้อสรุป สำหรับนักบัญชีที่ยังสับสนว่า จด vat แล้วต้องทำอะไรบ้าง ก็คือ ต้องรู้ว่าเรามีภาระหน้าที่ต้องทำตามกฎหมายตามนี้

  • การออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้า และการขอรับใบกำกับภาษีจากผู้ขาย
  • การทำรายงานภาษีขาย-ภาษีซื้อ
  • การจัดทำรายงานสินค้าและวัตถุดิบ
  • การยื่นแบบ ภ.พ.30 พร้อมกับเอกสารที่เกี่ยวข้องให้กับกรมสรรพากร

ที่เล่ามาทั้งหมดอาจจะดูยากสำหรับนักบัญชีและผู้ประกอบการมือใหม่ แต่ถ้าลองได้หัดทำครั้งแรกแล้ว ครั้งถัดๆไป ทุกคนน่าจะทำได้ แบบสบายบรื๋อเลยค่ะ

และสำหรับใครที่อยากเข้าใจเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม มากขึ้นกว่าเดิม เพิ่มเติมเก็บ CPD ได้ด้วย แนะนำลงเรียนคอร์สนี้ได้เลยค่า: รู้จักภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทั้งระบบ

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line: @cpdacademy

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า