เพื่อนๆเคยสงสัยเกี่ยวกับบัญชีเงินให้กู้ยืมไหมคะ ว่าทำไมมีเงินสำหรับให้กู้ยืม แต่ว่าไม่มีดอกเบี้ยรับจากเงินที่ให้กู้ยืมก้อนนี้เลยในงบทดลอง ซึ่งส่วนใหญ่เงินสำหรับให้กู้ยืมที่ไม่มีดอกเบี้ยแบบนี้ก็จะเป็นการให้กู้ยืมในบริษัทหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกันค่ะ ซึ่งภายในการบริหารก็เป็นซึ่งเจ้าของคนเดียวกัน หรือเป็นบริษัทในเครือกันที่สามารถตกลงเจรจาธุรกิจกันได้ ในทางของการบริหารอาจจะเลือกที่จะไม่คิดดอกเบี้ยได้นะคะ แต่ว่าทางกฏหมายบ่งบอกไว้อย่างชัดเจนเลยค่ะ ว่าจะต้องนำดอกเบี้ยในส่วนนี้ นำไปคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วย เราควรต้องรู้อะไรบ้าง มาดูกันค่ะ
ตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร หมวด 3 ภาษีเงินได้ ตามมาตรา 65 ทวิ (4) นั้นบ่งบอกไว้อย่างชัดเจนเลยค่ะ ว่าจะต้องนำดอกเบี้ยในส่วนนี้ นำไปคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วย

แต่ก็จะมีคำถามว่า แล้วเราจะคำนวณยังไงล่ะ งั้นเราลองไปทำความเข้าใจกันเลยค่า
คิดดอกเบี้ยเงินที่ให้สำหรับการกู้ยืม ต้องพิจารณายังไงบ้าง
ประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ (4) ระบุไว้ว่า ให้กู้ยืมเงิน โดยไม่มีดอกเบี้ย หรือมีดอกเบี้ยต่ำกว่าราคาตลาด โดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินดอกเบี้ยนั้น ตามราคาตลาดในวันที่ให้กู้ยืมเงิน หมายถึง หากกิจการของเพื่อนๆที่ทำงานอยู่ หรือว่าลูกค้าของเพื่อนๆ มีบัญชีเงินให้กู้ยืม ให้สอบถามกับผู้จัดการ หรือว่าผู้บริหารเลยค่ะ ว่ามีการคิดดอกเบี้ยกันที่อัตราดอกเบี้ยเท่าไหร่ในการพิจารณาอัตราดอกเบี้ย ถ้าแหล่งเงินที่ให้กู้ยืมเป็นเงินมาจากการกู้ยืมธนาคาร ดอกเบี้ยที่คิดก็ไม่ควรต่ำกว่าอัตราการกู้ยืมมาจากธนาคาร แต่ถ้าเป็นเหลือในบริษัทพิจารณาคิดจากอัตราเงินฝากประจำ เมื่อทราบแล้ว เพื่อนๆก็ลองนำอัตราดอกเบี้ยนั้นมาพิจารณาว่าเป็นไปตามดอกเบี้ยตามราคาตลาดไหม ก็จะแบ่งเป็น 2 กรณีนะคะ

1 .คิดดอกเบี้ย ราคาตลาดหรือสูงกว่า
กรณีนี้ผ่านฉลุยเลยค่ะ แต่เพื่อนๆต้องอย่าลืมบันทึกบัญชีด้วยนะคะ เพราะว่าแบบนี้ก็ถือว่าเป็นรายได้อื่นของกิจการ แล้วเมื่อได้รับเงินค่าดอกเบี้ยแล้ว ต้องยื่นแบบภธ.40 ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปด้วยนะคะ
2. คิดดอกเบี้ย ต่ำกว่าราคาตลาด หรือไม่คิดดอกเบี้ย
กรณีนี้จะต้องมาพิจารณาต่อค่ะ เพราะว่ากฏหมายระบุไว้ชัดเจนมาก ว่า “เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินดอกเบี้ยนั้น ตามราคาตลาดในวันที่ให้กู้ยืมเงิน” หมายถึง เราอาจจะเสี่ยงต้องเสียภาษีเพิ่มและโดนค่าปรับเงินเพิ่มด้วยนะคะ หากว่าโดนเจ้าพนักงานประเมินขึ้นมา เพราะฉะนั้น เรามาจ่ายภาษีให้ถูกต้องกันค่ะ ในกรณีดอกเบี้ยรับจะไม่ได้จ่ายเงินกันจริง ทางบัญชีไม่ต้องบันทึกดอกเบี้ยรับ เพราะว่างบการเงินจะแสดงดอกเบี้ยค้างรับยกยอดไปเรื่อยๆแบบไม่ถูกต้องค่ะ ถึงเราไม่ได้บันทึกบัญชีดอกเบี้ยรับ แต่เราก็ต้องมีรายการปรับปรุงทางภาษีค่ะ เพื่อที่จะแสดงรายได้ทางภาษีให้ถูกต้องค่ะ

ตัวอย่างการคำนวณรายได้ทางภาษี
รายได้ทางภาษี = จำนวนเงินที่ให้กู้ยืม x อัตราดอกเบี้ยราคาตลาด x ระยะเวลา
ยกตัวอย่างนะคะ
- กำไรทางบัญชี 1,000,000 บาท
- ก่อนปรับปรุงรายการรายได้ทางภาษี กิจการต้องเสียภาษี
กำไรทางบัญชี 1,000,000 x อัตราภาษี 20% | 200,000 บาท |
รายการปรับปรุง
- 1 ม.ค. 2564 เงินให้กรรมการกู้ยืม 5,000,000 บาท
- 31 ธ.ค. 2564 เงินให้กรรมการกู้ยืม 5,000,000 บาท
- อัตราดอกเบี้ยราคาตลาด 6.15% ต่อปี
รายได้ทางภาษี | 5,000,000 x 6.15% x (365/365) | 307,500 บาท |
หลังปรับปรุงรายการรายได้ทางภาษี กิจการต้องเสียภาษี | กำไรทางบัญชี 1,000,000+ รายได้ทางภาษี 307,500 = 1,307,500 x อัตราภาษี 20% | 261,500 บาท |
เพื่อนๆ เห็นความแตกต่างไหมคะ
- ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ก่อนปรับปรุงรายได้ทางภาษี = 200,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ก่อนปรับปรุงรายได้ทางภาษี = 261,500 บาท
เมื่อมีรายได้ทางภาษีเพิ่มขึ้น กิจการก็มีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลที่เพิ่มขึ้นค่ะ แบบนี้ถ้าโดนตรวจสอบขึ้นมา สรรพากรก็คงแฮปปี้ค่ะ เพราะว่าเราได้ยื่นรายการนี้ไปแล้วในแบบภ.ง.ด.50
แต่ว่าอย่าลืมภาษีอีกชนิดหนึ่งนะคะ ก็คือ กิจการไหนที่มีบัญชีเงินให้กู้ยืมต่างๆ ต้องมาสำรวจนะคะ ว่าได้เรียกเก็บดอกเบี้ยหรือยัง และนำส่งภาษีธุรกิจเฉพาะอย่างถูกต้องตามกฏหมายหรือยัง ถึงเราจะไม่ได้จดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะก็เถอะ เราก็ต้องจ่ายภาษีตัวนี้ด้วย ในรายละเอียดอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่: ภาษีธุรกิจเฉพาะ ดอกเบี้ยรับ สัมพันธ์กันยังไง พร้อมตัวอย่างการคำนวณ
อบรมบัญชีเก็บชั่วโมง CPD ออนไลน์ง่ายๆ ได้ที่บ้าน
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line: @cpdacademy