เคยไหมรับทำบัญชี ยื่นภาษีมาแล้วงานไม่เคยราบรื่นสักที เอกสารไม่ครบบ้างหล่ะ ไม่ยอมจ่ายค่าทำบัญชีบ้างล่ะ บังคับนักบัญชีเลี่ยงภาษีให้บ้างล่ะ ถ้าใครเคยเจอปัญหาแบบนี้ อาจจะต้องเริ่มต้นจากการคัดกรองลูกค้าที่ใช่ก่อนรับงานบัญชีค่ะ แล้วเราจะสกรีนลูกค้าก่อนรับงานบัญชีอย่างไร มาดูกันเลยค่ะ
นักบัญชีอย่างเรามีเวลาจำกัด หากรับงานแบบไม่เลือก เจอลูกค้าดีก็ดีไป แต่ถ้าโชคร้ายเจอลูกค้าแย่ นอกจากจะเสียเวลาทำบัญชีให้พวกเค้า ยังเสียสุขภาพจิตต้องมาหวาดระแวงว่าใบประกอบวิชาชีพจะถูกยึดหรือไม่อีก
เอ..แล้วเราจะสกรีนลูกค้าก่อนรับงานบัญชีอย่างไร ให้มั่นใจว่าคนนี้แหละใช่ และทำงานร่วมกันต่อได้
ก่อนอื่น CPD Academy จะพาไปดูว่ากลุ่มลูกค้าทำบัญชี ยื่นภาษีแบ่งยังไง
กลุ่มลูกค้ารับทําบัญชี ยื่นภาษี
กลุ่มลูกค้าเราจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มนะคะ
กลุ่มที่ 1 คือ ลูกค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคคล
– กลุ่มบุคคลธรรมดา จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะเน้นไปที่การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม เวลาที่จะเสนอราคาลูกค้านั่นเอง
– กลุ่มนิติบุคคล จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ถ้าเป็นลูกค้าแบบนี้เราต้องเน้นให้คำปรึกษาลูกค้า ในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มไปด้วยค่ะ
กลุ่มที่ 2 คือ ลูกค้าที่ไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคคล
– กลุ่มบุคคลธรรมดา ไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วนใหญ่ลูกค้าจะมาขอคำปรึกษาเพื่อยื่นภาษีบุคคลธรรมดา แต่ว่าเราสามารถแนะนำเกี่ยวกับบริการการคำนวณและยื่นแบบแสดงรายการภาษีให้ได้ หากว่ารายได้ของลูกค้านั้นมีความซับซ้อน แต่ถ้าหากซับซ้อนมากๆ และรายได้เกิด 1.8 ล้านบาท อาจจะต้องแนะนำให้ลูกค้าจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติมนะ นักบัญชีอย่างเราต้องแนะนำสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุดให้ลูกค้าเสมอ
– กลุ่มนิติบุคคล ไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม นิติบุคคลที่ไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่า อาจจะเพราะรายได้ยังไม่ถึง 1.8 ล้านบาท หรือว่าอาจเป็นธุรกิจที่ได้รับการยกเว้น แต่ว่ายังไงก็ต้องมีหน้าที่ในการจัดทำบัญชี ลูกค้าประเภทนี้ให้เราเสนอราคาแบบการทำบัญชีและยื่นภาษีได้ตามปกติเลยค่ะ

ข้อมูลที่ต้องการจากลูกค้า เพื่อสกรีนลูกค้าก่อนรับงาน
1. ข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญ
ยกตัวอย่างเช่น ชื่อบุคคล หรือนิติบุคคล ที่เราสามารถไปค้นหาข้อมูลเบื้องต้นตามที่สาธารณะได้ เพื่อเป็นการสกรีนลูกค้าก่อนว่า เป็นใคร ทำธุรกิจอะไร
คำถามภาพรวมที่ห้ามลืมถามลูกค้า เพื่อทราบข้อมูลพื้นฐานของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
- ใครเป็นนักบัญชีคนเก่า ทำไมถึงอยากเปลี่ยนนักบัญชีใหม่
- ทำไมถึงเลือกติดต่อเข้ามาหาเรา
- ปัญหาอะไรที่กังวลสำหรับธุรกิจในตอนนี้
2. ประเภทธุรกิจของลูกค้า
เพื่อเป็นไอเดียในการเริ่มต้นทำบัญชี การเข้าใจลักษณะธุรกิจของลูกค้าเป็นเรื่องที่ดี ยกตัวอย่างเช่น ถ้าลูกค้าบอกว่าเป็นธุรกิจโรงเรียนเอกชน นักบัญชีต้องคิดก่อนว่าเรามีความสามารถหรือประสบการณ์ในการทำงานไหม เพราะธุรกิจที่มีลักษณะเฉพาะอาจต้องอาศัยความเข้าใจด้านกฎหมายอื่นเพิ่มเติมด้วย เช่น พรบ.โรงเรียนเอกชน ถ้าสมมติเรายังไม่พร้อมกับธุรกิจนี้ อย่าลืมโน้ตไว้ในใจก่อน แล้วค่อยตัดสินใจเลือกรับงาน
นอกจากนี้สิ่งที่เราอาจสังเกตได้จากการสอบถามอาจจะเป็นความใส่ใจของลูกค้าในการทำธุรกิจว่าพวกเค้ามีความใส่ใจมากน้อยแค่ไหน หรือแค่อยากได้นักบัญชีทีทำงานให้เสร็จไปตามกฎหมาย (ถ้าเป็นแบบนี้คงรู้แล้วว่า ราคาต้องมาที่ 1 ไม่ใช่คุณภาพงานแน่นอน)
3. ความต้องการของลูกค้า
เมื่อลูกค้าติดต่อมาหาที่เรา แน่นอนว่า ลูกค้ามีความต้องการบางอย่างมาอยู่แล้ว เพียงแค่เราต้องเสนอราคาให้โดนเป้า โดนใจ ก็เพิ่มโอกาสในการรับงานเพิ่มได้แล้ว
คำถามทีเด็ดที่จะช่วยให้เราตัดสินใจว่าจะรับลูกค้าบัญชีรายนี้ดีหรือไม่ หนึ่งในนั้นน่าจะเป็นเรื่องภาษี ที่เราต้องรู้ว่าลูกค้าคิดอย่างไรกับมัน เช่น บางคนอาจคิดว่าภาษีเป็นเรื่องต้องจ่ายแต่พวกเค้าอยากประหยัดภาษีให้ได้มากที่สุด หรือบางคนคิดว่าภาษีไม่ใช่เรื่องของเค้า หน้าที่เราทำอย่างไรก็ได้ให้ภาษีต่ำสุดๆ
ถ้าเป็นแนวคิดในแบบที่ 2 ที่ลูกค้าคิดว่าภาษีไม่ใช่หน้าที่ของพวกเค้า นักบัญชีเตรียมเก็บกระเป๋าเซย์กู้ดบายได้เลย เพราะถ้ารับงานนี้ เราต้องรับหน้าที่ตกแต่งบัญชีเพื่อให้ลูกค้าจ่ายภาษีต่ำสุดๆ อย่างแน่นอน
4. รูปแบบการจัดทำบัญชี
แน่นอนว่าสมัยนี้ มีการจัดทำบัญชีหลากหลายรูปแบบผันแปรตามโปรแกรมบัญชี ข้อนี้ห้ามลืมสอบถามลูกค้าเด็ดขาด เพราะว่าเป็นการทำความเข้าใจให้ตรงกัน ว่าเราเหมาะที่จะดำเนินธุรกิจไปร่วมกันอย่างราบรื่นได้หรือไม่
รวมถึงสโคปงานบริการด้านบัญชีมีหลายรูปแบบซึ่งสโคปที่แตกต่าง หมายถึง ราคาที่แตกต่างด้วย นอกจากการบันทึกบัญชีและยื่นภาษี ลองถามลูกค้าสักนิดว่าเค้าต้องการสิ่งเหล่านี้หรือไม่
- วางระบบบัญชี
- ทำเงินเดือน
- ยื่นประกันสังคม
- ทำสต๊อกสินค้า
เมื่อพูดคุยตกลงสโคปงานได้ชัดเจนแล้วก็จะได้ไม่ต้องกังวลว่าเสนอราคาสูงไปหรือต่ำไป เพราะทั้งสองฝ่ายเข้าใจถึงหน้าที่ตัวเองเป็นอย่างดี

เมื่อเราได้สอบถามลูกค้าไปแล้ว ก็นำคำตอบของลูกค้ามาประมวลผล และก็ต้องสื่อสารออกไปให้เราได้เข้าใจถูกต้องตรงกัน หากได้มีโอกาสร่วมงานกันจริงๆ
– แนะนำตนเองและบริษัทของตนเอง ให้มีความน่าเชื่อถือว่าลูกค้าสามารถไว้วางใจกับทางเราได้แน่นอน
– ใบเสนอราคา คือการตกลงราคา และรวมถึงวิธีการปฏิบัติงานลงไปด้วย
– เงื่อนไขการชำระเงิน เนื่องจากแต่ละกิจการมีรอบการชำระเงินไม่ตรงกัน อาจจะต้องมาตกลงกันก่อนว่าจะชำระเงินอย่างไร
– การส่งเอกสารและการจัดเก็บเอกสาร งานบัญชี เอกสารตัวจริงถือว่าเป็นอะไรที่สำคัญมาก เพราะว่าเกี่ยวกับเรื่องของการคำนวณภาษีอีกด้วย

สำหรับการรับงานทำบัญชีแล้ว ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็ยากพอพอกับการทำบัญชีเลยค่ะ เพราะว่าเราต้องถามคำถามลูกค้า คิด วิเคราะห์การทำงานให้รอบคอบ ถ้าพลาดไป หรือตกลงกันพลาด นั่นหมายถึง เราอาจจะทำงานไม่คุ้มกับเงินค่าจ้างที่ได้รับ หรือลูกค้าอาจจะไม่พอใจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง เพราะฉะนั้น เราจึงต้องให้ความสำคัญกับการรับงานบัญชีไม่น้อยกว่าการทำบัญชีเลยค่ะ
สุดท้ายแล้วในอาชีพของการทำบัญชี เรามักจะคิดว่าเราเป็นผู้ถูกเลือกเสมอ แต่ในความเป็นจริง นักบัญชีเองก็เป็นฝ่ายเลือกลูกค้าได้ถ้าเราตั้งใจจะเลือก และปฏิเสธลูกค้าได้ถ้าไม่อยากทำงานด้วย เพราะการปฏิเสธคู่ที่ไม่เหมาะตั้งแต่เดทครั้งแรก คงไม่รู้สึกแย่เท่ากับเป็นแฟนแล้วบอกเลิกกันใช่ไหมคะ
หากได้รับงานทำบัญชี ยื่นภาษีเรียบร้อยแล้ว ลองไปดูบทความสำหรับการรับงานอย่างมืออาชีพกันเลยค่ะ
รับงานบัญชี ยื่นภาษี ต้องทำอะไรบ้าง ควรแนะนำลูกค้าอย่างไรให้เป็นมืออาชีพ
อบรมบัญชีเก็บชั่วโมง CPD ออนไลน์ง่ายๆ ได้ที่บ้าน สอบถามได้ที่นี่
Line: @cpdacademy หรือ https://lin.ee/36U1ks0Y