ภาษี

ภ.พ.36 คืออะไร บันทึกบัญชียังไง

ภ.พ.36 คืออะไร บันทึกบัญชียังไง

นักบัญชีน่าจะเจอปัญหาที่ว่ามีผู้ประกอบการหลายคนที่ซื้อสินค้า และบริการกับร้านค้า หรือบริษัทที่อยู่ต่างประเทศ เอากลับมาใช้งานในไทย แต่ไม่ได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย และกว่าจะรู้ตัวก็โดนปรับให้เสียภาษีย้อนหลังเข้าอย่างจัง

ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม และ “ภ.พ.36” จึงเป็นเรื่องที่สำคัญต่อธุรกิจมาก ๆ เลยนะคะ

ในวันนี้ก็เลยจะชวนนักบัญชีทุกคนมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “ภ.พ.36 คืออะไร บันทึกบัญชียังไง” กันค่ะ ซึ่งจะมีรายละเอียดยังไงนั้น ตามมาดูพร้อม ๆ กันเลยจะได้ช่วยแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าถูกจ้า

ภ.พ.36 คืออะไร?

ภ.พ.36 คือ แบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยผู้ที่ได้จ่ายเงินค่าสินค้า หรือค่าบริการให้กับผู้ประกอบการที่อยู่นอกประเทศไทยจะต้องเป็นคนยื่นภาษีแทนในอัตรา 7% ของค่าสินค้า หรือค่าบริการที่จ่ายทั้งหมดในแต่ละเดือน

ภ.พ.36 คืออะไร
ภ.พ.36 คืออะไร

ใครต้องยื่นแบบ ภ.พ.36 บ้าง

เมื่อได้รู้แล้วว่า ภ.พ.36 คืออะไร นักบัญชีหลายคนอาจจะสงสัยว่าใครบ้างที่ต้องยื่นแบบฟอร์มนี้ คำตอบก็คือ คนที่ได้ทำธุรกรรมตามด้านล่างนี้ค่ะ

  1. คนที่ได้จ่ายเงินซื้อสินค้า และ บริการให้กับผู้ประกอบการที่อยู่ต่างประเทศ ซึ่งเข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว และไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งผู้ประกอบการอื่น ๆ ที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
  2. คนที่ได้รับโอนสินค้า หรือรับโอนสิทธิในบริการที่ได้เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0 เช่น การขาย หรือให้บริการกับองค์การสหประชาชาติ สถานทูต หรือสถานกงสุล
  3. คนที่ขายทอดตลาดที่ได้ขายทรัพย์สินของผู้ประกอบการจดทะเบียน หรือส่วนราชการขายทรัพย์สินของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ถูกยึดมาตามกฎหมายโดยวิธีอื่น
ใครต้องยื่นแบบ ภ.พ.36 บ้าง
ใครต้องยื่นแบบ ภ.พ.36 บ้าง

ค่าใช้จ่ายแบบไหนต้องยื่น ภ.พ.36 บ้าง

ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นได้ว่า ค่าใช้จ่ายที่ธุรกิจต้องยื่น ภ.พ.36 เนี่ย อยู่ในชีวิตประจำวันเราทั้งนั้นเลยค่ะ

อย่างทุกวันนี้หลายบริษัทก็ยิงแอดผ่าน Facebook ใช้บริการกับ Google สมัคร Youtube Premium เพื่อดูวิดีโอแบบไม่มีโฆษณา แล้วก็ซื้อบริการรูปภาพกับ Canva และ Shutterstock เพื่อใช้ในการทำงานกันใช่ไหมคะ

จริง ๆ แล้ว ธุรกิจที่กล่าวไปนั้นเป็นบริษัทต่างประเทศที่ให้บริการในประเทศไทยค่ะ

ดังนั้น ค่าใช้จ่ายที่ต้องยื่น ภ.พ.36 ก็คือ ค่าสินค้า และ ค่าบริการที่ซื้อในไทย แต่จ่ายให้ผู้ประกอบการจากต่างประเทศ นั่นเองค่ะทุกคน

ค่าใช้จ่ายแบบไหนต้องยื่น ภ.พ.36 บ้าง
ค่าใช้จ่ายแบบไหนต้องยื่น ภ.พ.36 บ้าง

ยื่น ภ.พ.36 ต้องทำเมื่อไร?

เมื่อนักบัญชี หรือใครก็ตามในธุรกิจได้ซื้อสินค้า หรือใช้บริการกับบริษัทต่างประเทศที่ให้บริการในไทยไปแล้ว จะได้ใบเสร็จรับเงินจากผู้ขาย หรือผู้ให้บริการกลับมาใช่ไหมคะ

สิ่งที่ต้องทำอันดับต่อมาก็คือ การทำตัวเป็นคนดี ยื่น ภ.พ.36 ตามเวลาที่กรมสรรพากรกำหนด โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  • หากธุรกิจจะยื่นภาษีที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป เช่น ธุรกิจ A ยิงแอดผ่าน ​Facebook ในเดือนสิงหาคมไป 7,000 บาท จึงต้องไปยื่น ภ.พ.36 ภายในวันที่ 7 กันยายน
  • ส่วนธุรกิจที่จะยื่นภาษีออนไลน์ ให้เข้าที่หน้าเว็บ e-filing ของกรมสรรพากร และทำการยื่น ภ.พ.36 ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป เช่น อิงจากตัวอย่างเมื่อครู่ หากธุรกิจ A ไม่อยากไปยื่นที่สรรพากรพื้นที่แล้ว จะต้องยื่นออนไลน์ภายในวันที่ 15 กันยายน

อย่างไรก็ตาม หากธุรกิจไหนไม่ได้ยื่น ภ.พ.36 ภายในระยะเวลาที่กำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของภาษี VAT ที่ต้องชำระ และต้องเสียภาษีย้อนหลังตั้งแต่วันที่ควรจะต้องยื่นจนถึงวันที่ได้ยื่นจริง ๆ ตามที่กฎหมายแห่งประมวลรัษฎากรกำหนดค่ะ อื้อหือ…แค่ดูจากตรงนี้ก็สยองแล้วค่ะว่า “เยอะมาก” ขนาดไหน เพราะฉะนั้น ยื่น ภ.พ.36 ให้ตรงเวลาดีกว่านะคะ

ยื่น ภ.พ.36 ต้องทำเมื่อไร
ยื่น ภ.พ.36 ต้องทำเมื่อไร

ยื่น ภ.พ. 36 แล้วบันทึกบัญชีอย่างไร?

เมื่อธุรกิจได้ชำระค่าซื้อสินค้า และค่าบริการจากผู้ประกอบการต่างประเทศ และได้ยื่นแบบ ภ.พ.36 เพื่อชำระภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร (ขั้นตอนนี้ยังไม่จ่ายเงินชำระภาษี) จะต้องบันทึกค่าใช้จ่ายในบัญชีตามมูลค่าที่จ่ายจริง พร้อมกับรวมภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระ โดยใช้บัญชีที่เหมาะสม เช่น

  • บัญชีค่าใช้จ่ายบริการ (Service Expense)
  • บัญชีค่าใช้จ่ายสินค้าหรือบริการที่นำเข้า (Import Goods/Services Expense)

ตัวอย่างการบันทึก

Debit: ค่าใช้จ่ายบริการ100,000 บาท
Credit: เงินสด100,000 บาท
Debit: ภาษีมูลค่าเพิ่ม – ยังไม่ถึงกำหนด7,000 บาท
Credit: เจ้าหนี้สรรพากร7,000 บาท

ต่อมา เมื่อธุรกิจชำระภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากรแล้ว จะได้รับใบเสร็จ ภ.พ.36 กลับมา และสามารถนำไปเคลมภาษีซื้อในแบบ ภ.พ.30 ในเดือนถัดไปได้ เราจะบันทึกค่าใช้จ่ายในบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชำระ (VAT Payable) ค่ะ

ตัวอย่างการบันทึก

ธุรกิจ A ชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม 7,000 บาท จะบันทึกค่าใช้จ่ายในบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชำระ (VAT Payable)

Debit: เจ้าหนี้สรรพากร7,000 บาท
Credit: เงินสด7,000 บาท
Debit: ภาษีซื้อ7,000 บาท
Credit: ภาษีมูลค่าเพิ่ม – ยังไม่ถึงกำหนด7,000 บาท

หากนักบัญชีได้บันทึกบัญชีตามขั้นตอนนี้ จะช่วยให้การจัดการบัญชี และภาษีเป็นไปอย่างถูกต้อง อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วยค่ะ

บันทึกบัญชีอย่างไร
บันทึกบัญชีอย่างไร

จะเห็นได้ว่า การได้ทำความเข้าใจกับ ภ.พ.36 คืออะไร สำคัญกับธุรกิจเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยไม่ให้ตกหล่นเรื่องภาษีเมื่อได้ซื้อสินค้า หรือใช้บริการกับผู้ประกอบการจากต่างประเทศ เช่น Facebook, Netflix, Youtube และ Google เป็นต้น

อีกทั้งยังลดความเสี่ยงที่ธุรกิจจะโดนกรมสรรพากรตรวจสอบ และต้องชำระภาษีย้อนหลังได้น้อยลงด้วย ดังนั้น เวลามีค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ยื่นภาษี แล้วก็บันทึกบัญชีให้เรียบร้อยนะคะ เพราะเราสามารถเอาใบเสร็จ ภ.พ.36 มาเคลมภาษีซื้อได้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจนั่นเองค่ะ

สำหรับใครที่อยากเข้าใจเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม มากขึ้นกว่าเดิม เพิ่มเติมเก็บ CPD ได้ด้วย แนะนำลงเรียนคอร์สนี้ได้เลย รู้จักภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทั้งระบบ

คอร์สอบรมเก็บชั่วโมง CPD
คอร์สอบรมเก็บชั่วโมง CPD

แนะนำบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นภาษี (คลิกที่นี่)

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line: @cpdacademy

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า